วันเสาร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2555

[SCP TRANSLATION PROJECT] SCP-082 ยักใหญ่ใจดี

ภาพของ SCP-082 ในขณะที่กำลังจู่โจมเจ้าหน้าที่่ระดับ D ซึ่งติดกล้องไว้บนหัว(ติดแบบไฟส่องกบอ่ะ)

เรื่องพวกนี้ในขณะที่พวกคุณอ่าน ไม่ต้องถามว่า
มันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่าแต่ขอให้อ่านเพื่อความบันเทิงครับ
Codename: SCP-082
ระดับความอันตราย:Euclid(อาจมีอันตรายแม้ในสภาพปกติ)

ขั้นตอนการกักขัง

ในตอนแรกอาวุธที่ใช้สงครามไม่สามารถทำอันตรายเจ้า SCP-082 ได้แต่พอทางองกรณ์ลองใช้
อาวุธชีวภาพปรากฏว่ามันได้ผล มันทำให้เจ้า -082 อ่อนแรงและสงบลง ฉนั้นทางองกรณ์จึงไำด้ทำการ
ขังมันไว้ที่ เขตกักเก็บอาวุธชีวภาพ ใน Area 14 การขังมันไว้ที่นั่นทำให้มันสงบและนิ่งจึงไม่ต้องการ
การดูแลอะไรมากมายเป็นพิเศษก็คือปล่อยมันอยู่ของมันเอง

นอกจากนี้เจ้า -082 ยังให้ความร่วมมือแก่การตอบคำถามที่ทางองกรณ์ถามอย่างง่ายดาย
ง่ายจนน่าสงสัย(น่าจะลองไปเล่นเกมเศรษฐี)
ทำให้องกรณ์จัดสรรที่อยู่ให้มันอย่างหรูหราเพราะว่าพอใจในตัวมัน รวมถึงจัดบริวาร
คอยทำความสะอาดพื้นที่ให้มันด้วย ซึ่งพวกขี้ข้าพวกนั้นก็คือ *เจ้าหน้าที่คลาส D นั่นเอง

*เจ้าหน้าที่ D คลาส คือพวกนักโทษที่ได้รับโทษประหาร แต่ทางองกรณ์ได้ขอยืมตัวมาใช้ในงานที่เ้สี่ยงอันตราย
ก็คือเป็นพวกไร้ค่า ทำความเลวมามาก เป็นพวกเดนตายนั่นเอง

รายละเอียดเกี่ยวกับ SCP-082

ตามลักษณะทางพันธุกรรม SCP-082 คือมนุษย์คนหนึ่ง
แต่เพื่อความแน่ใจว่ามันเป็นมนุษย์จริงๆองกรณ์ได้ทำอะไรพิศดารกับมันหลายอย่าง 
เช่น การลองใช้สารเคมีกับมัน ,การปลูกมะเร็งลงในตัวมัน หรือแม้กระทั่งการให้คุณริวได้สัมผัสมัน
ผลการทดลองทุกอย่างล้วนบอกว่ามันเป็นมนุษย์ แต่สิ่งที่ตาของเจ้าหน้าที่หลายๆคนเห็นมันไม่ใช่น่ะสิ
เพราะว่ารูปร่างของมันไม่ใช่มนุษย์ แต่มันเป็นยักษ์!!! จากน้ำหนักกว่า 310 กิโลกรัมและส่วนสูงกว่า 2.4 เมตร เหมือนกับว่ามันโตอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบันมันไม่เคยหยุดโตเลย
ส่วนใบหน้าของมันก็เหมือนยักษ์ซะไม่มี
เพราะว่าหัวของมันตรงกลางนั้นสิบแสน กรามและคางใหญ่ผิดปกติ ตามันเป็นสีดำสนิทและกลวงโบ๋
นอกจากนี้มันยังมีกล้ามเนื้อที่ยอดเยี่ยม กล้ามเืนื้อของมันสมบูรณ์พร้อมมาก
ทั้งรูปทรงและปริมาณเป็นอะไรที่เหมาะเจาะและสุดยอด ถ้าลงโอลิมปิคคงกวาดเหรียญกระจาย
ปลายแขน(ช่วงต่ำกว่าศอกลงมาใกล้ๆกับข้อมือ)ของมันล่ำสันและใหญ่ ใหญ่กว่าแขนของจอนอีกนะ
วัดเส้นผ่านศูนย์กลางได้ 71cm
กำปั้นตอนกำหมัดวัดได้ 31cm

ผลการ X-ray ร่างกายแทบจะอ่านไม่ได้เพราะกล้ามเนื้อหนาๆของมันปิดบังโครงสร้างภายในไว้
แต่ว่าการ X-ray ก็ไม่ได้เสียงบไปเปล่าๆปลี้ๆซะทีเดียวเพราะว่่าจากการ X-ray
ทำให้เห็นกระสุน ,มีด ,หรือแม้กระทั่งดาบ ที่ฝังที่อยู่ในกล้ามเนื้อของมัน
(1-1 กะหมีท่าจะมันนะไอ้นี่)

นอกจากนี้มันยังบอกว่ามันชื่อ Fernand ซึ่งมันพูดเป็นภาษาฝรั่งเศส
ก็คือ "Je suis fernand" แต่ว่าก็น่าอนาถแท้ ที่ถึงแม้มันจะพูดภาษาฝรั่งเศสแต่สำเนียง
มันดันเป็นภาษาอังกฤษซะนี่(สงสัยมันเรียนมาไม่ครบ 555)
ตอนที่มันพูดนอกจากเจ้าหน้าที่จะตกใจเพราะมันพูดภาษาเมืองน้ำหอมแต่เป็นสำเนียงเมืองผู้ดีแล้ว
เจ้าหน้าที่ยังได้ตะลึงกับเสียงที่ใหญ่และทุ้มของมัน
ส่วนฟันของมันนั้นเบียดกันแน่นเหมือนขาดความอบอุ่น
มันบอกว่าจริงๆแล้ว มันใช้ฟันเพื่อกินและร้องเพลงเท่านั้น ไม่ได้อยากจะพูดกับใคร

จากการสังเกตในชีวิตประจำวันของมันบางครั้งมันจะแหกปากร้องเพลงที่มันชอบอยู่บ่อยๆ
ซึ่งก็มีตั้งแต่เพลงของ Victorian Era Bar ซึ่งเป็นเพลงที่ชาวโลกยุคปัจจุบันไม่มีใครจำได้แล้ว
ไปจนถึงเพลงแนวคลาสสิคของยุคปัจจุบัน

ส่วนมากมันจะร้องเพลงในช่วงที่มันทำอาหาร และตอนที่มันนั่งกินอาหาร
และในชีวิตประจำวันของมันมันจะไม่หวีผมข้างหัวของมันเลย ซึ่งจริงๆแล้วผมมันก็มีแค่อยู่ข้างๆหัวนั่นแหละ ตรงกลางมัน 10 แสน แต่ถึงมันจะไม่หวีแต่ก็ตัดนะซึ่งก็ไม่รู้จะตัดทำไม ยิ่งมีน้อยๆอยู่ด้วย
ซึ่งอุปกรณ์ที่มันใช้ตัดผมก็คือ มีดหั่นหมูอันเท่าเคสคอมนั่นแหละ ซึ่งไอ้มีดนั่นมันก็ใช้ทำอาหารด้วย-*-
มันสกปรกจริง - - 
บางทีมันก็จะคลั่งลุกขึ้นมาบีบกรามตัวเองเพื่อให้ฟันติดกันแน่น บางทีมันก็บีบจนเลือดไหลออกตามไรฟัน ซึ่งทางองกรณ์ยังไม่รู้ว่ามันทำเพื่ออะไร แต่ก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้

บุคลิกของ SCP-082 ดูเป็นมิตรมากๆและดูเหมือนว่ามันจะไม่ระวังอันตรายเลย
บางทีมันก็จะขังตัวเองอยู่ในตู้เสื้อผ้าขนาดยักษ์ของมันเป็นเวลานาน
เพื่ออะไรน่ะเหรอ? เพราะว่ามันสนุกกับการแต่งตัวน่ะสิ มันเปลี่ยนชุดไปมาในสไตล์ต่างๆ
อย่างสนุกสนานในตู้เสื้อผ้าของมัน เช่น ชุดแบบทางการก็คือพวกชุดสูทอะไรพวกนีี้
บางทีมันก็ใส่ชุดทหาร บางทีก็แต่งเป็นตัวตลก หรือแม้กระทั่งแต่งตัวเป็นผู้หญิง
ซึ่งทางองกรณ์ก็บ้าจี้ คอยจัดหาเสื้อผ้าใหม่ให้ตามที่มันขออยู่เสมอ
มันพยายามจะทำให้ขี้ข้าที่อยู่ในบริเวณบ้านมันตลก นอกจากนี้เวลาที่คุยกันมันยังคุยอย่างสุภาพนอบน้อม

และมันก็ชอบชวนพวกเจ้าหน้าที่คลาส D ดินเนอร์กับมันบ่อยๆ แต่ไม่ว่ายังไงก็ตามทุกคนที่เข้าไป
ในพื้นที่ของมันควรระวังทุกการกระทำของมัน ไม่ว่ามันจะแสดงออกยังไง
ก็จงจำไว้ว่า SCP-082 มันเคยเข้าจู่โจมและกินคนที่ไว้ใจมันมาหลายคนแล้ว

มันซ่อนดาบไว้ในรอยยิ้ม คนที่คุยกับมันบ่อยๆ ซึ่งก็มีอยู่หลายคนมักจะถูกมันกัดและกินหัว
ซึ่งหลังจากกินหัวของคนๆนั้นเสร็จ มันจะกล่าวขอโทษว่า
"ขอโทษที่เสียมารยาทและขัดจังหวะการคุยครับ"
SCP-082 มีกรามที่แข็งแกร่งอย่างน้อยก็แกร่งพอที่จะกัดกระโหลดใครสักคนให้แตก
และดูเหมือนว่ามันจะสนุกกับการทำลายหัวคนอื่น
ส่วนเรื่องที่ว่ามันกัดหัวคนที่คุยกับมันนั้น ทางองกรณ์หาสาเหตุไม่เจอ เพราะดูเหมือนว่ามันจะเกิดขึ้น
แบบสุ่มๆ ทำให้ป้ิองกันได้ยาก มองไม่เห็นแรงจูงใจหรืออะไรทั้งนั้น

SCP-082 ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอันไหนเรื่องจริงเรื่องหลอก โดยเฉพาะเมื่อมันอ่านนิยาย
หรือดูทีวี มันจะไม่สามารถแยกแยะออกเลยว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่
มีหลายครั้งที่มันแสดงท่าทางอยากจะพบคนที่มันชื่นชม
เช่น ฮันนิบบาล เล็คเตอร์(Hannibal Lecter) มันคิดว่าหนังนั้นสร้างจากเรื่องจริง

แต่ว่าทางองกรณ์ก็ช่วยมันพัฒนาสมอง ด้วยการให้มันจำสิ่งต่างๆเล่นเกม Puzzle
นอกจากนี้ยังสอนให้มันล้อเลียนและพูดประชัดชัน

ดูเหมือนว่าเจ้า SCP-082 จะเข้าใจเรื่องการโกหกเพราะมีหลายๆครั้ง มันพูดโกหกให้คนอื่นฟัง
หลายๆต่อหลายครั้ง มันบอกว่าเมื่อก่อนมันเคยเป็นอะไรหลายๆอย่าง
ซึ่งรวมๆที่มันพูดไว้ก็มีดังนี้
-เมื่อก่อนมันเคยเป็นแวมไพร์(มันพูดเอง)
-มันเคยเป็นคนแคระด้วย
-นกยักษ์มันก็เคยเป็น -*-
-แม้กระทั่ง Andre The Giant(นักมวยปล้ำ)
-นโปเลียนก็มีนะ
-เคยเป็นโอบิลิกด้วย
-Dr. Bright(ใครหว่า)
-The Hulk(ให้ตายเถอะ)
-อเล็กซานเดอร์ มหาราช
-กับตันฮุก
-เชอร์ล็อค โฮลมส์
-เคยเป็นแฟรงเก้น สไตล์ด้วยนะ

จบครับ
แปลโดย:jobpowell
เผยแพร่ครั้งแรกที่ powelltranslator.blogspot.com
Support Me


วันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2555

[Horror Story Project]บทนำ The Boogeyman ความกลัวที่มองไม่เห็น



ตามธรรมชาติของมนุษย์ทุกคน พวกเราจะมีความกลัวที่ไม่สามารถอธิบายได้ไม่ว่าจะคิดหาเหตุผล
ซักเท่าไหร่ เราก็ไม่สามารถลบความกลัวนั้นออกไปจากใจ...

บางคนกลัวงู...  บางคนก็กลัวแมงมุมและพวกสัตว์เลื้อยคลานที่น่าขยะแขยงทั้งหลายแหล่..

มีแม้กระทั่งคนที่กลัวความมืด... คุณอาจจะบอกว่าคุณกลัวงู กลัวความมืดเพราะมันมีอันตราย แต่ใน
ใจจริงๆของคุณมันไม่ใช่เลย

ผู้คนมากมายกลัวที่จะว่ายน้ำในมหาสมุทรหรือที่ๆ มันกว้างใหญ่เช่นบึงใหญ่ๆ บ่อใหญ่ๆ ทะเลสาบเป็นต้น
(ผมเป็นหนึ่งในนั้น T-T)
เวลาที่พวกเค้าว่ายน้ำอยู่ และเท้าของพวกเค้าหย่อนลึกลงไปในแม่น้ำที่มืดมิด พวกเค้ามักจะคิดว่า
มีอะไรบางอย่าง ว่ายอยู่ข้างใต้และมันจะดึงพวกเค้าลงไป มันเป็นความกลัวที่ไม่มีเหตุผลเอาซะเลย

คุณเคยมั้ย? กลางดึกในห้องของคุณเอง ลองจ้องมองไปที่ตู้เสื้อผ้าของคุณแล้วลองจินตนาการว่า
มันค่อยๆอ้าออก อย่างช้าๆเหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างเปิดมันจากข้างใน
คุณเคยมั้ย? ลองมองลงไปใต้เตียงของคุณก่อนจะนอนทุกคืนเพื่อที่คุณจะได้มั่นใจว่า ไม่มีอะไรหลบ
อยู่ใต้เตียงและรอที่จะออกมาตอนที่คุณหลับ



คุณไม่เคยหรอกครับเพราะมันน่ากลัวทั้งๆที่มันเป็นความกลัวที่ไม่มีมูลเหตุ คุณรู้แค่เพียงว่ามันน่ากลัว
ความกลัวที่ไร้เหตุผลนี้มีสิ่งหนึ่งเป็นตัวแทน มันคือ "Boogeyman"

อยากจะช่วยเหลือ อยากจะสนับสนุน อยากจะให้ทาน อยากจะบริจาค

5555 อยากอะไรก็แล้วแต่คลิกลิ้งค์นี้พอเป็นแรงใจ Support me








วันจันทร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2555

"สังคมไทย ใครเก่งหน่อยก็ไม่ได้" เหรอ?


เนื่องมาจากภาพนี้ ทำให้ผมคันมืออยากจะพิมพ์ขึ้นมา ตามประสาคนปากมาก 555


เรื่องที่ผมจะพูดก็คือ "คนเก่งนั้นมีอยู่ทุกสังคม และการซุบซิบนินทาก็มีีอยู่ทุกสังคมเช่นกัน"
ผมไม่ได้แย้งประเด็นคุณ แต่อยากจะอธิบายประเด็นให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้คนไทยและเด็กไทยหลายๆคนที่เข้ามาดูและเห็นภาพนี้
มองสังคมไทยไปในทางลบมากกว่านี้ เพราะทุกวันนี้ สื่อมักจะนำเสนอแต่เรื่องเสื่อมๆ ซึ่งคุณได้เงินได้ผู้ชมไปแต่มันทำให้สังคมไทยเสื่อมทรามลงมาก
เพราะถูกคนไทยมองในแง่ลบ ทั้งๆที่เรื่องดีๆก็มีอยู่มากมาย ผมไม่ได้อยากจะให้สื่ิอปกปิดความจริง แต่อยากให้สื่อหลักๆ ก็คือพวกช่อง Free TV หลักๆนั่นแหละ
ช่องใหญ่ๆก็คือ ช่อง 3,7,9 โดยเฉพาะช่อง 3 และ 7 ชอบตีข่าวให้เรื่องเสื่อมๆเป็นประเด็นให้เพลาๆบ้าง 555 ช่างมันเถอะ

เข้าเรื่องของรูปภาพ

ผมอยากจะอธิบายว่า "คนเก่งนั้นมีส่วนทำให้สังคมเจริญ" แต่คนที่ทำให้สังคมเจริญมากที่สุดคือ "คนที่คิดเป็น"
ซึ่งการนำเสนอว่า คนไทยนั้นเมื่อแสดงออกเมื่อใดมักจะถูกซุบซิบนินทา มันไม่ได้มีอยู่ทุกที่หรอกครับ แต่ก็จริงที่ว่าพวกชอบนินทาในทางเสีย
มันถ่วงความเจริญของสังคม แต่มันจะไม่เป็นเช่นนั้น ถ้ามีคนที่คิดได้และกล้าแสดงออกจริงๆ แค่คำนินทามันไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย
ผมเป็นหนึ่งในคนที่ชอบยกมือตอบเช่นกัน หากไม่อยากโดนนินทาขอให้คุณตอบด้วยความมั่นใจ มันเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดที่ผมคิดได้

คนเก่งนั้นมีส่วนจำเป็นในการช่วยบริหารสังคม แต่คนคิดเป็นคือผู้นำของสังคมอย่างแท้จริง


หากคุณคิดเป็นแค่เสียงนินทาคุณจะไปสนใจอะไรครับ มันไม่ได้ถ่วงคุณหรอก มันไม่ได้ทำให้ความ Popular ของคุณหายหรอก

เพราะคนบ้าวิชาการส่วนมาก ไม่มีความ Popular อยู่แล้ว คุณจะไปกลัวอะไร ขอให้ทำมันให้เต็มที่ ทำด้วยความมั่นใจ ถ้ามันเป็นสิ่งที่ถูก
ต้อง ใครจะนินทาก็ช่างหัวมันสิ คุณก็ด่ามันไปเลยสิ ถ้ากล้าแค่ตอบคำถามแต่ไม่กล้าที่จะปกป้องตัวเอง ก็ไม่ใช่คนที่สามารถจะทำให้สังคมเจริญขึ้นได้หรอก
ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่คนซุบซิบนินทา แต่มันอยู่ที่ความอ่อนแอของจิตใจและความคิดไม่เป็นต่างหากครับ 
ผู้ใหญ่รวมถึงเด็กหลายๆคนไม่กล้าที่จะปกป้องตัวจากสิ่งต่างๆเช่นเสียงนินทา หลายๆคนไม่กล้าที่จะเรียกร้องสิทธิ์ของตัวเองอย่างเต็มที่
เพียงเพราะความอ่อนแอของจิตใจ เด็กอย่างผมกล้าจะที่จะปกป้องตัวเอง เด็กอย่างผมคิดอะไรได้มากกว่าใครหลายๆคน
แต่เด็กอย่างผมก็ไม่ได้มีส่วนทำให้สังคมเจริญขึ้น เพราะฉนั้นถ้าคุณคิดไม่ได้จริงๆว่า อะไรที่มันทำให้สังคมเจริญขึ้น หรืออะไรที่มันทำให้สังคมเสื่อมลง
ผมก็ไม่อยากให้คุณ หยิบยกสิ่งที่คุณคิดมาประจานหรือเผยแพร่เพราะมันทำให้สังคมไทย ถูกมองให้เสื่อมเสียโดยคนไทยเอง แน่นอนมันทำให้สังคมเสื่อมลง

แต่ ผมไม่ได้ว่าเจ้าของกระทู้คือคุณ Ghostzaba นะ ผมแค่อยากจะพูดถึงเรื่องที่คนไทยมองสังคมในแง่ลบมากเกินไป โดยที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้คิดอะไรจริงจัง

แค่ดูแล้วคล้อยตามสิ่งที่บุคคลหรือสื่อนำเสนอออกมา ทำให้สังคมไทยถูกมองในแง่ลบโดยคนไทยเอง

เอ้อ เรื่องสุดท้าย ผมกับ User ที่ำพิมพ์เรื่องนี้ลง JKG เป็นคนเดียวกันนะ

วันพฤหัสบดีที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2555

น้ำพุลอยฟ้า [The Fly Geyser]


The Fly Geyser น้ำพุลอยฟ้า สุดยอดแห่งความแปลกและสวยงาม



Fly Geyser,near Gerlach, Nevada



น้ำพุลอยฟ้าตั้งอยู่แถวๆบริเวณ เจอลาซ รัฐเนวาด้า สาเหตุที่มันเป็นสถานที่ๆแปลกก็เพราะว่าไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง
ความสูงของมันก็ประมาณ 3 เมตรกว่า(ในภาพแม่งสูงยังกะภูเขา)
และหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ผู้คนสนใจมันมากที่สุดก็คือ มันตั้งอยู่ในพื้นที่ส่วนบุคคล

ก็นะ ตามนิสัยคนก็อยากรู้อยากเห็นกันหมดอ่ะ ยิ่งมันเป็นของคนอื่นด้วยแล้ว ไม่ใช่แค่คนไทยนะ
ฝรั่งก็เป็นเหมือนกัน แล้วก็ไม่รู้ทำไมเวลาคนไทยมุงดูอะไร เราถึงเรียกว่า"ไทยมุง"
ทั้งที่คนที่มามุง มันก็มีทั้ง เจ๊ค,แกว,มอญ,ส่วย,ชาวลาวก็มีนะบางที
น่าจะเรียกว่า"นานาชาติมุง"มากกว่า ฮ่าฮ่า


"นานาชาติมุง"



เอาล่ะเข้าสาระกันดีกว่า ฮ่าฮ่า เนื่องจากมันบังเอิ๊ญบังเอิญไปอยู่ในที่ส่วนบุคคล
ทำให้ไม่มีใครได้ เชยชมมันอย่างเต็มอิ่ม และเต็มตา

เจ้าของคือ นายบิล สพู(Bill Spoo)(ออกสำเนียงตามคนไทยฮ่าฮ่า)


Bill Spoo ชายผู้เก็บน้ำพุสวรรค์ไว้ดูคนเดียว


บิล สพูเป็นคนที่ประหลาดมากเพราะเค้าเลือกที่จะเก็บความงามนี้ไว้ชมคนเดียว
ทั้งที่มีลาภก้อนใหญ่อยู่ตรงหน้า เขาจะเก็บค่าเข้าจากฝรั่งมุงก็ได้
ซึ่งคงจะเป็นลาภก้อนใหญ่ โถ่ๆไม่อยากจะคิด เขาสามารถรวยได้มากกว่าเดิมไม่รู้กี่เท่านะ
แต่เขาก็เลือกที่จะไม่รับโอกาสนี้(แปลกคนจริงๆ)

แต่เขาก็ให้พวกนักวิจัยกับพวกช่างภาพเข้าอยู่นะ เฉพาะคนที่สนิทกับเค้านั่นล่ะ ฮ่าฮ่า




















วันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2555

[Marvel Hero Profile]Spider-Man[Peter Parker][ภาษาไทย]

โอ้ !!! สวัสดีครับวันนี้มาเขียนเรื่องที่กำลังเป็นกระแสในหมู่คอหนังและคอฮีโร่ทั้งหลาย
ซึ่งวันนี้ผมจะนำเสนอในประวัติชีวิตของ Hero คนนี้ 





ชื่อจริง:Peter Parker

ภูมิลำเนา:Forest Hills,New York

ครอบครัว:นาย Richard Parker(พ่อ),Mary Parker(แม่),
Benjamin Parker(ลุงเบน),May Parker(ป้าเมย์)

ประวัติการศึกษา:จบปริญญาโทด้านชีวฟิสิก,ต่อปริญญาเอกใน
ชีวเคมีแต่เรียนไม่จบ(มัวแต่ยุ่งเรื่องคนอื่น)

ประสบการณ์ด้านการทำงาน:ช่างภาพอิสระ,ผู้ช่วยโค้ชในไฮสคูล
,อาจารย์สอนวิทย์,นักวิทยาศาสตร์

ทุกๆคนย่อมมีช่วงเวลาท้อแท้และเจอกับทางตันไม่เว้นแม้แต่ึึคนที่เหนือกว่าคนอื่น

ความพิเศษของ Spider-Man

อย่างที่ทุกคนรู้ๆกันอยู่ความสามารถหลักๆของ Peter คือการเกาะ
(ไม่ใช่เกาะกลางถนนนะ)แต่การเกาะของเค้ามันไม่ธรรมดา มันไม่เหมือนกับการเกาะของพวกเรานะ อย่าง เกาะไหล่ เกาะอก(อันนี้ผมชอบ) เกาะแกะ เกาะอะไรก็ว่าไป เกาะของ Peter ไม่ได้กากแบบนี้
การเกาะของเค้านั้นนอกจากจะเกาะได้แล้ว ยังสามารถติดหนึบอยู่กับสิ่งที่เกาะได้อีกด้วย นอกจากนี้เค้ายังสามารถเกาะได้แทบจะทุกๆที่ในโลก เอาน้ำมันราดตึกแล้วให้เค้าเกาะเค้ายังเกาะอยู่เลย




พลัง(กาย)

เป็นถึง Super Hero ขวัญใจมหาชนทั้งทีพลังกายของเค้ามันธรรมดาซะที่ไหนกันล่ะ เค้าสามารถยกน้ำหนักได้ แน่นอนใครๆก็ยกได้ พุฒ เดชอุดมก็ยกได้ แต่ว่า Parker ยกได้น้ำหนักได้ถึง 10 ตันเชียวนะครับ
ในสภาพปกติเค้าสามารถยกน้ำหนักได้ถึง 10 ตันแล้วถ้าเกิดได้วอร์มอัพหรือเครื่องร้อนขึ้นมาล่ะจะขนาดไหน 


ความคล่องแคล่วว่องไว

ส่วนด้านความเร็วนั้นแม้จะไม่ได้เว่อร์วังอะไรมากแต่ก็เร็วกว่า Hero หลายๆคนมากโขอยู่นะ
เพราะว่าความเร็วของเค้านั้นมากกว่ามนุษย์(ผู้ชาย)ธรรมดาถึง 15 เท่า ดูอย่าง Wolverine นี่ก็มากกว่าคนธรรมดาประมาณ 5-6 อ่ะครับ
นอกจากนี้เค้ายังสามารถเดินทางจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งด้วยความเร็วที่สูงมากเพราะ เค้าสามารถโหนใยได้นั่นเองนะฮะ


สัญชาติญาณแมงมุม

เป็นอีกหนึ่งในความพิเศษของเค้า ซึ่งช่วยให้เค้ารับรู้ได้ถึงอันตรายต่างๆที่จะเกิดขึ้นและตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว 
ซึ่งไอ้สัญชาติญาณที่ว่านี่คนก็มีครับ เหมือนกับเวลาที่มีคนจะชกเราอ่ะครับ ถ้ามันชกเล่นๆเราก็รู้สึกได้ว่ามันชกเล่นๆเรา้ก็จะไม่หลบ แต่มันชกจริงๆความรู้สึกมันก็จะต่างกันโดยที่ร่างกายเราจะรับรู้ได้ทันทีมันแล้วมันก็จะตอบสนองโดยการเอามือปัดหรือหลบ ส่วนจะสำเร็จรึเปล่าก็อีกเรื่องนึง แล้วลองคิดดูดิ ความเร็วระดับ Spider-Man+Spider-sense(สัญชาติญาณแมงมุม)เวลาโดนโจมตีเนี่ยเค้าจะหลบได้หมดเหมือนกับว่าเ้้ค้ามองเห็นล่วงหน้าเลยแหละว่ามันจะมาทางไหนมายังไง ทำให้เค้ารอดพ้นจากการโดนโจมตีหนักๆได้เป็นประจำ ถ้าเค้าโดนเตะที่ท้องเค้าก็จะถอยหลังเพื่อหลบแต่ถ้าหลบไม่ทันเค้าก็ยังสามารถผ่อนแรงที่ได้รับด้วยการแอ่นหลังทำให้ไม่โดนจังๆ ด้วยความเร็วระดับนี้ำทำให้เค้าดูอึดมากๆ แต่จริงๆแล้วไม่ได้อึดเท่าไหร่เพียงแต่เค้าหลบได้ในระดับที่เราดูไม่รู้ก็แค่นั้น ฮ่าฮ่า
(โอ้คุณ Parker จิตสัมผัส ฮ่าฮ่า)


อุปกรณ์เสริม

Spider-Man คิดค้นและสร้างอุปกรณ์เสริมที่จะช่วยให้การต่อสู้และการทำหน้าที่ของเค้าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งอุปกรณ์เสริมส่้วนมากเค้าก็ติดไว้ตามตัวตามชุดนั่นแหละโดยอุปกรณ์เสริมหลักๆของเค้าก็มี
1. Web Shooters
เครื่องยิงใยเทียมที่ใช้ยิงเวลาใยจริงหมด นอกจากนี้ยังมีใยแบบพิเศษที่เค้าคิดค้นขึ้นเองก็ใช้ยิงผ่านเครื่องยิงนี้ โดยใยแบบพิเศษที่ว่าจะยิงออกมาโดยใช้ใยจริงยิงผ่านเครื่องนี้แล้วออกมาเป็นใยพิเศษ
ซึ่งไอ้เครื่องยิงใยนี่จะติดไว้ที่ข้อมือทั้งสองข้าง

2.Spare Web Cartridges(ตลับเก็บใยสำรอง)
ติดไว้ที่เข็มขัดซึ่งใช้เก็บใยสำรอง เอาไว้ใช้เวลาที่ไม่เหลือใยจริงแล้ว


3.Spider Signal Light(ไฟสัญญาณรูปแมงมุม)

ใช้ทำอะไรไม่รู้ แต่สงสัยเค้าจะชอบดู Batman เลยมาทำไฟรูปแมงมุมเหมือนที่ Batman ทำไฟรูปค้างคาวไง


4.Compact Camera(กล้องมินิ)
ืื 
ที่ต้องบอกว่่ากล้องมินิเพราะผมพิมพ์ไม้จัตวาไม่ได้ กล้องนี่ก็คงเอาไว้แอบถ่ายชาวบ้านมั้ง
ระหว่างที่โหนไปมาพี่แกคงเบื่อเลยพกกล้องไว้ถ่ายฉากเด็ดที่เห็นผ่านทางหน้าต่าง


5.Web Shooters(รุ่้นพัฒนา)

เค้าได้เปลี่ยนเครื่องยิงใยของเค้าจากเหล็กมาเป็นพลาสติกที่มีความทนทานสูง เนื่องจากเครื่องเป็นเหล็กโดนศัครูเล่นงานด้วยแม่เหล็กทำให้ยิงใยพิเศษไม่ได้ นอกจากนี้ในรุ่นพัฒนายังติดเครื่องวัดปริมาณใยในร่างกาย และเครื่องจะส่งสัญญาณเตือนเมื่อปริมาณใยในร่างกายเหลือน้อย เพื่อที่เค้าจะได้หยุดยิง
และรอให้ร่างกายสร้างใยใหม่ทดแทน(หากยิงใยจนหมด Spider-Man จะเกิดอาการเพลียไม่ใช่ฟ้าเหลืองนะครับ ฮ่าฮ่า)

6.Underwater Suit(ชุดดำน้ำ)
ในตอนที่เค้าได้ร่วมงานกับ Iron Man เค้าได้คิดค้นชุดใหม่ซึ่งจะเครื่องกรองสารพิษอยู่ตรงบริเวณปาก
และทำให้สามารถหายใจใต้น้ำได้(ล้ำว่ะ ปลาแมงมุมแมน)

7.Audio Amplification(เครื่องขยายเสียง)
ทำให้เค้าได้ยินเสียงชัดขึ้นช่วยเพิ่มระยะการฟัง เอาไว้ใช้ในการแอบฟังหรือดักฟังชาวบ้าน
นอกจากนี้ยังช่วยให้เค้าได้รับซาวด์ที่แสบดากมากขึ้นติดไว้ตรงหู


8.Visual Amplification(เครื่องขยายวิสัยทัศน์)

ช่วยให้เค้าสามารถมองเห็นได้ชัดและไกลมากขึ้น นอกจากนี้ยังให้ช่วยให้สามารถมองแบบ
อินฟาเรด(ตรวจจับความร้อน)ได้ ซึ่งการมองแบบอินฟาเรดนี้สามารถมองทะลุผนังได้
และต่อให้ศัตรูล่องหนมาเค้าก็มองเห็นได้
นอกจากนี้ยังแบบเพิ่ม Vision แบบก๊อกเกิ้ลที่จะช่วยให้มองเห็นได้ชัดในเวลากลางคืนซึ่งจะติดไว้ตรงตา

9.Communication System(ระบบเครือข่ายดาวเทียม)

Spider-Man มีดาวเทียมที่ขอจาก Tony Stark ซึ่งไอ้ดาวเทียมนี้จะตรวจจับเหตุฉุกเฉินหรือเหตุร้าย
ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ ที่เค้าต้องการ ซึ่งมันจะแสกนและรายงานให้เค้ารู้ เค้าจะได้ไปช่วยได้ทัน เอ้อลืม
นอกจากนี้ยังตรวจสอบพวกตำรวจเวลาที่ปฏิบัติงานด้วยว่าไปทำอะไรที่ไหนยังไง

10.Retractable Webbing(ผ้าใบวิเศษ)

ผ้าใบนี้จะติดอยู่ใต้แขนเค้า โดยมันจะยืดหดออกมาตามใจของเค้า ประโยชน์ของมันคือใช้ร่อนได้
ในระยะสั้นๆ เชนเวลาเค้าตกจากที่สูงพอใกล้จะถึงพื้น เค้าก็จะกางมันออกเพื่อให้ตกลงพื้นอย่างนุ่มนวล

เนี่ยลักษณะจะประมาณเนี้ย โทษนะครับหารูปสวยๆไม่ได้จริง ฮ่าฮ่า

11.Bullet Proof Costume(ชุดกันกระสุน)

หน้าตาเหมือนกันชุด Spider-Man ธรรมดานี่แหละครับเพียงแต่ไอ้ชุึดนี้จะกันกระสุนได้
ปกติเค้าไม่ใช้อยู่แล้ว เพราะหลบกระสุนได้อยู่แล้ว เพียงแต่เอาไว้ในกรณีที่โดนหมาหมู่หลบไม่ได้จริงๆ
เอ้อแต่ว่าชุดนี้กันกระสุนไรเฟิลไม่ได้นะ กันได้เฉพาะกระสุนขนาดเล็ก อย่าง กระสุนปืนพกหรือไม่ก็
พวกลูกปราย


พอแล้วครับวันนี้จบแค่นี้ที่จริงมันยังมีชุดพิเศษอยู่อีกชุดนึงแต่ว่า

วันนี้ผมติดธุระคงจะเขียนได้แค่นี้ก่อนนะครับ ไปล่ะ Bye Bye

วันพุธที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2555

[Donnie Decker - The Rain Boy] เด็กชายผู้มากับสายฝน



นานมาแล้วในช่วงปี 19xx มีเด็กชายคนหนึ่งนามว่า ดอนนี่ เด็คเกอร์(Donnie Decker) เด็กชายคนนี้เป็น
หนึ่งในบุคคลที่ลึกลับและน่าพิศวงมากที่สุดของโลก ปัจจุบันเค้าเป็นตายร้ายดียังไง ไม่ได้มีข่าวให้เห็น
และหากเค้ายังมีชีวิตอยู่ ในปีนี้เค้าคงจะมีอายุอานามราวๆ 49 ปี เค้าถูกขนานนามว่า The Rain Boy
เด็กชายผู้มากับสายฝน ซึ่งเหตุใดเค้าจึงถูกเรียกขานเช่นนี้ วันนี้!!! พวกท่าน!!! 
จะได้รู้กัน!!!

เด็กชายผู้มีนามว่า Donnie Decker(ต่อไปจะเรียกสั้นว่่า ดอน)อาศัยอยู่กับปู่ของเค้า ซึ่งไอ้ปู่นี่ก็ชั่วมาก
ชอบขุดทองหลานตัวเอง(ข่มขืนนั่นแหละ)  หลังจากไอ้แก่ตายลง ดอนหลุดพ้่นจากนรก นรกที่ทำให้
เค้าอั้นขี้ไว้ไม่ได้ พอปู่ของเค้าสิ้นแฮไปแน่นอนว่าเค้าต้องไปอยู่ในบ้านเด็กกำพร้า ซึ่งก็ถือว่าโชคดี
เพราะเข้าไปอยู่ได้ไม่นานก็ได้ถูกครอบครัว Keefers(คีเฟอร์) รับอุปการะไป เค้าเป็นเด็กมีปัญหานิดหน่อย
(มีปัญหาก็ต้องทายปลาอะไรอยู่่ในน้ำ ถุ้ย!! ไม่ใช่) แต่มีครั้งหนึ่งเค้าสร้างปัญหาจนเรื่องต้องถึงตำรวจ
แต่ว่าหลังจากตำรวจ ได้รู้ว่าเค้าเคยโดนปู่ขุดทอง ไอ้เฒ่าหัวงูนั่นแหละ ตำรวจก็ปล่อยตัวเค้าไป

นี่คือไอ้แก่กำพร้า(กำมีดพร้า)
นี่คือผู้ใหญ่กำ(มีด)พร้า

แล้ววันหนึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ชื่อว่า Jack Rundle ถูกเรียกมาที่บ้านคีเฟอร์ เนื่องด้วยพวกคีเฟอร์พบของ
เหลวประหลาดซึ่งมาจากไหนก็ไม่รู้(ฮึ่ยหรือว่าจะเป็นผี FAB) พอแจ็คมาถึง แจ็คก็ตรวจดู ดูโน่น ค้นนั่น
ค้นนี่หลายๆอย่างแล้ว แจ็คก็ไปพาดอนนี่ลงมาจากบนบ้าน พามาดูตรงดูตรงที่ของเหลวปริศนาเจิ่งนองอยู่ ทันใดนั้น ของเหลวพวกนั้นลอยขึ้นจากบนพื้น แล้วพุ่งเข้ากระแทกแจ็ค แจ็คล้มลง 
และตกใจมากแทบคุม สติไว้ไม่อยู่ แต่เค้าก็รู้สึกได้ว่าของเหลวพวกนั้นมันคล้ายๆกับน้ำมัน หลังเหตุการณ์
นั้นจบลง เค้าตัดสินใจที่จะมาอยู่ในบ้านของคีเฟอร์ เค้าไม่ได้มาเอาแก้แค้นเรื่องที่เกิดขึ้นกับเค้า 
เพียงแต่เค้าอยากจะรู้ ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเองนั้นมันคืออะไรกันแน่และมันเกิดขึ้นเพราะอะไร ตอนแรกแจ็คและพวกคีเฟอร์สงสัยดอนนี่ หลังจากผ่านไป 2-3 อาทิตย์ เค้าก็ได้รู้ว่า ดอนนี่ คือสาเหตุของ
เรื่องประหลาดนั่นจริงๆ จากการที่เค้าจับตาดูบริเวณภายในบ้านเป็นเวลา 2-3 อาทิตย์
เรื่องทั้งหมดที่เค้าเห็นทำให้เค้ามั่นใจว่าดอนนี่คือสาเหตุ

ในช่วง 3-5 โมงเย็นทุกวันๆ จะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับดอนนี่ ซึ่งแจ็คก็ได้ไปเห็นเข้าและได้แอบติดตามเรื่องนี้่ หลังจากเค้าจับตาดูดอนนี่ได้ 2-3 วัน เค้าก็ได้เห็นสิ่งที่เค้าสงสัย มีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นกับดอนนี่ ในวันนั้นดอนนี่แหกปากเสียงดังว่า
"มันเผาฉัน อ๊ากกก มันเผาฉัน"(ใครไปแย่งมันเผาของมันว่ะ)
จากนั้นดอนนี่ก็ถอดเสื้อออก ซึ่งพวกคีเฟอร์และแจ็คก็ได้เห็น สร้อยกางเขนของนิกายคาธอลิค
ดอนนี่กระชากมันออก และฟาดมันลงกับพื้น แล้วก็นวดหน้าอกตัวเองเบาๆ แจ็คเดินเข้าไปใกล้ๆ
ดอนนี่และหยิบสร้อยนั่นขึ้นมา แต่ก็ทิ้งมันทันทีเพราะมันร้อนมาก พอเค้าเข้าไปดูดอนนี่
เค้าก็ได้เห็นรอยไหม้ตรงอกของดอนนี่ ซึ่งมันไหม้เป็นรูปกางเขน แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไป
ยุ่งหรือไปถูกตัวดอนนี่ หลังจากเวลาผ่านไป 2-3 อาทิตย์ซึ่งแจ็คได้ออกจากบ้านของ
พวกคีเฟอร์ เค้าได้ไปเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนๆของเค้าฟัง ซึ่งๆคนที่ฟังก็อยากเห็นดอนนี่ทั้งนั้น
แจ็คกับเพื่อนก็เลยมาหาดอนนี่ที่ห้อง(แน่นะไอ้นี่ หัวกระไดไม่แห้งเลย ฮ่าฮ่า)
พอเคาะประตูปรากฏว่าดอนนี่ไม่เปิด พวกเค้าเลยพังประตูเข้าไป
ภาพที่พวกเค้าเห็น มันเป็นภาพที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น ดอนนี่ลอยอยู่กลางอากาศ ที่คอของเค้ามีเลือดไหลอยู่
มันเหมือนกับมีพลังงานบางอย่างอ่ะค่ะ(พูดแบบคุณเจน) บีบคอเค้าแล้วยกขึ้นไป จากนั้นเค้าก็ปลิว
ไปกระแทกกับกำแพง(ลักณะเหมือนจะโดนพลังงานจับโยน)

จากนั้น 2 ปี ดอนนี่ก็ถูกจับด้วยเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้ง ไม่เว้นแม้แต่ตอนอยู่ในคุก
ดอนนี่เรียกของเหลวประหลาดออกมาอีกแล้ว
ให้ตายเถอะดอน นายทำอะไร นายสาวแหนอย่างงั้นเหรอ?(พูดแบบ Mr.bryan)
หลังจากดอนนี่หลั่งสารประหลาดในคุก เจ้าหน้าที่คนนึงซึ่งใจดีกับนักโทษเสมอได้ถามเค้าว่า
"นายทำมันได้ยังไง"
           "ผมควบคุมมัน" ดอนนี่ตอบ
"ผมลองผิดลองถูกหลายครั้ง แล้วผมจะทำให้ดู ผมจะทำให้ของเหลวพวกนี้ ตกใส่กระบาลเดวิดที่นอนสาวแหนอยู่ห้องข้างๆ"
"งั้นเหรอ"เจ้าหน้าที่ตอบ
จากนั้นเค้าก็ไปดูห้องข้างๆ ซึ่งเดวิดนอนอยู่ และก็เป็นอย่างที่ดอนนี่บอก เสื้อของเดวิดเปียกโชกไปหมด
หลังจากนั้นไม่นาน ดอนนี่ก็ถูกปล่อยตัว และเค้าได้ไปทำงานอยู่ที่ร้านอาหารแถวๆนั้น
ซึ่งเค้าก็ยังคงเรียกของเหลวปริศนามาแกล้งผู้อื่นอยู่เสมอ

เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจริงๆ แถวๆ  Philadelphia, PA(เพนซิลวาเนีย)
สำหรับวันนี้ขอลาไปก่อนครับ

วันจันทร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2555

[Legendary Monster Project]The Kraken pt.1




เรื่องคราเคนสามารถพูดได้เต็มปากว่าเป็นตำนานที่น่ากลัวที่สุดของเหล่านักเดินเรือทั้งหลาย ตามที่้เล่าๆกันมารูปร่างคร่าวๆของมันคือ มันตัวใหญ่อภิมหาใหญ่

มีหนวดยุ่บยั่บเหมือนปลาหมึก ซึ่งไอ้หนวดนี่ยาวมากพอที่จะ เิอื้อมไปจนถึงยอดของเสากระโดงของเรือทุกๆลำ(ในศตวรรษในที่ 19) วิธีโจมตีเรือลำต่างๆของมัน โดยมากมันจะใช้วิธี
ใช้หนวดโอบรัดรอบลำเรือ แล้วพลิิกให้คว่ำเพื่อจะแดกผู้โดยสารทั้งหลาย ซึ่งก็มีหลายรสชาติ ไม่่ว่าจะเป็นรสกลาก เกลื้อน หรือจะเป็นรสเริมหรือรสหนองใน มันก็แดกหมด
โดยไม่เลือก(อ่า กินง่ายเลี้ยงง่ายโตง่าย ฮ่าฮ่า) จากที่ฟังๆมามันก็แึ้ค่เรื่องของสัตว์ประหลาดตะกละที่มากินคนทำไมไม่รู้ มันก็ไม่เห็นจะมีัอะไรน่าตื่นเต้นใช่มั้ยล่ะึัครับ
แต่อย่าพึ่งผิดหวัง เพราะเรื่องของมันไม่ได้มีแค่นี้(ถ้ามีแค่นี้มันอยู่เหนือเรื่องสัตว์ประหลาดๆในทะเลตัวอื่นๆได้ยังไง ใช่มั้ยล่ะ?) เรื่องของมันไม่ได้มีแค่นี้
เพราะเรื่องมันถูกสร้างจากเรื่องจริง แล้วผมก็ไม่ได้พูดลอยๆ 
เพราะผมมีหลักฐานของเรื่องนี้ ฮ่าฮ๋า เกริ่นจบแล้วไปเริ่มเรื่องหลักกันดีกว่า
เรื่องมีอยู่ว่า ไอ้ตัวนี้มันไม่ได้มีตัวเดียว เพราะตัวหนึ่งจะมีเขาส่วนอีกตัวไม่มี แต่ว่าที่มันเหมือนกันคือ มันเป็นยักษ์เหมือนกัน และมันมีหนวดยุ่บยั่บเหมือนกัน
ซึ่งไอ้พวกนี้ ตามหลักฐานของคนยุคโบราณแล้ว มันระบุว่าไอ้พวกนี้มีอยู่จริงในยุคนั้น(ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเชื่อถือได้แค่ไหน) ตามบันทีกตำนานสกิลลาแห่งกรีกโบราณ
นายโอดิสเซียสนักเดินทาง เคยเห็นสัตว์ประหลาดๆตามลักษณะที่เรียกว่า คราเคน ซึ่งเขาอ้างว่าเค้าแล่นเรือผ่านมันไปโดยที่มันไม่ได้จู่โจมเค้า ซึ่งไอ้ตัวที่เค้าเห็นมันมี 6 หัว นอกจากนี้ในปี 1555 โอลาอัส แมกนัส ได้เขียนเรื่องของสัตว์ทะเลชนิดหนึ่งซึ่งเขาได้พบเห็นไว้ว่า มีเขาแหลมรอบหัว 
และมีรูปร่างเหมือนกับรากไม้(หนวดปลาหมึกนั่นแหละ)
ซึ่งหนวดแต่ล่ะอันมีขนาดประมาณ 10-12 ศอก (2.5-3 เมตร) มีสีดำขลับ และมีตาขนาดยักษ์ซึ่งแววตาน่าขนลุกขนพองมาก และหลังจากนั้นเรื่องราวของคราเคน
ก็ได้เงียบหายไป จนกระทั่งถูกขุดคุ้ยปมขึ้นมาอีกครั้งในปี 1735 ในหนังสือเรื่อง Systema Naturae
ซึ่งเขียนโดย Carolus Linnaeus(โคราลัส ลินเนียส)
ซึ่งในหนังสือเล่มนี้ ได้กล่าวเรื่องของคราเคนไว้ว่า มีผู้เคยพบสัตว์ประหลาดชนิดนี้เมื่อศตวรรษที่ 12 ในแถบทะเลของนอเวย์ ซึ่งไอ้โคราลัส(ผู้เขียน)ได้ตั้งประเด็นแย้งว่า
ไอ้นี่ไอ้คราเคนเนี่ยมันเป็นแค่เกาะๆหนึ่ง ซึ่งคนที่เห็นอุปทานไปเองว่ามันเป็นสัตว์ประหลาด เค้ายังบอกอีกว่าพวกนั้นคงกลัวจนขี้ขึ้นสมอง ทำให้คนลืมมันไปอีกครั้ง
เพราะเชื่อ โคราลัส จนกระทั่งปลายปี 1752 หัวหน้าบาทหลวงแห่งเบอร์เกน นาย Erik Ludvigsen Pontoppidan(อีริค ลุดวิกเซ่น ปันทอบพิดอน ชื่ิิิือแม่งมาเต็ม) เขียนหนังสือเรื่อง The Natural History of Norway(ประวัติศาสตร์ธรรมชาิติ
แห่งนอร์เวย์) ขึ้น เขาบรรยายเกี่ยวกับคราเคนในทฤษฏีที่โต้แย้งกับโคราลัสโดยสิ้นเชิง ซึ่งโคราลัสคงจะแสบดากไม่น้อยเพราะมันแย้งกับทฤษฏีของเขาอย่างชัด
เจนแจ่มแจ้ง โดยนายอีริค อธิบายว่า "คราเคนมันเป็นสัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างไม่ต้องสงสัย คนที่บอกว่ามันไม่มีจริงก็คงจะเป็นแค่คนบ้า
ที่ชอบสาวแหนคนหนึ่ง ไอ้ึคราเคนเนี่ยขนาดจริงๆของมันก็คือ 1.5 ไมล์ ซึ่งมันก็ใหญ่พอๆกับเกาะนี่เอง เพราะฉนั้นคนที่พูดว่ามันเป็นแค่เกาะก็ขอให้คิดใหม่
เพราะถึงมันจะเป็นเกาะจริงๆ มันก็เป็นเกาะมีชีวิต" นอกจากนี้บิชอปอีริคยังบอกอีกว่า คราเคนมันเป็นสิ่งมีชีวิตสายพันธ์เดียวกับปลาดาว 
บิชอปอีริค ยกให้คราเคนเป็นสิ่งมีชีวิตที่อันตรายที่สุดสำหรับชาวเรือ ซึ่งเค้าเชื่ออย่างฝังใจยิ่งกว่าสาวไทยคลั่งดาราเกาหลีว่ามันมีอยู่จริงๆ นอกจากนี้เค้ายังกล่าวทิ้งท้าย
ไว้ว่า "คราเคนมันเป็นสัตว์ที่อยู่ในทะเลลึกซึ่งมนุษย์ไม่สามารถหยั่งถึง แต่มันขึ้นมาบนผิวน้ำด้วยเหตุประการใดคงจะได้รู้คำตอบกันซักวัน"(ซึ่งก็ไม่รู้ทำไมตานี่
มั่นใจซะเหลือเกิน) ผมขอโทษที่ผมลืมเขียนมาเอามาไว้หลังแล้วกัน บิชอปอีริคได้กล่าวถึงสาเหตุที่คราเคนโจมตีเรือต่างๆเค้ากล่าวว่า"ฝูงปลาน้อยใหญ่ชอบที่จะมา
อาศัยอยู่ใกล้ๆกับคราเคน ซึ่งพวกชาวประมงก็จะตามไปจับปลาพวกนั้น ซึ่งแหวกว่ายอยู่บริเวณใกล้เคียงกับคราเคน พอชาวประมงเข้าไปยุ่มย่ามมันก็เกิดรำคาญเลย
โจมตีเข้าให้"
แปลครั้งแรกเมื่อ 28 พฤษภาคม 2012 เผยแพร่ครั้งแรกที่ HERE





[The Lost City of Atlantis] มหานครแอตแลนติสอารยธรรมที่รุ่งเรืองที่สุุดบนโลกมนุษย์กับปริศนาการมีตัวตน

The Lost City of Atlantis

เมื่อประมาณ 350 ปีก่อนคริสต์ศักราช(2362 ปีก่อน) Plato นักเขียนชาวกรีก ได้เขียนเกี่ยวกับกับนครแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสถานที่สวยงามใกล้เคียงกับสวรรค์
(สงสัยไอ้ Plato เคยไปสวรรค์) ซึ่งนครแห่งนี้มีลักษณะเป็นเกาะซึ่งตั้งอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติส ซึ่งไอ้นครแห่งนี้ มันจมหายไปเพราะภัยพิบัติบางอย่างด้วยเวลาเพียง
1 วัน 1 คืน(สร้างกันมาเป็นร้อยเป็นพันปี ชิบหายไปในเวลาไม่ถึง 2 วัน) ประวัติศาสตร์ของนครแห่งนี้ที่นาย Plato(จะเรียกเค้าว่าปลาโตแล้วกันขี้เกียจเปลี่ยนภาษา)
บรรยายไว้เกี่ยวกับข้อมูลต่างๆและความสวยงามของนครแห่งนี้ แดกเนื้อที่หนังสือไป 2 เล่ม(ออกแนวเพ้อแล้วนะเนี่ยนายปลาโต)



ความเป็นอยู่ในมหานครแอตแลนติส

นายปลาโตได้กล่าวถึงชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในมหานครแอตแลนติสไว้หลายอย่างแต่ส่วนมากจะพูดถึง ความยอดเยี่ยมทางด้านวิศวกรรมและงานสถาปนิกซะ้เป็นส่วนมาก
(นั่นหมายความว่าชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนนี้จะมีความสะดวกสบายสูงมากนั่นเอง) ในนครนั้นมีทั้ง วัง,ท่าเรือ,วัดและอู่ต่อเรือ อยู่หลายแห่้ง(แสดงให้เห็นถึงความ
กว้างขวางของเมือง ตีความให้กลัวท่านผู้อ่านงงกัน) เมืองหลวงของนครแห่งนี้ตั้งอยู่บนเนินเขาและล้อมรอบไปด้วยแม่น้ำ ซึ่งมันลักษณะเป็นรูปวงแหวน คือเป็นน้ำกลมๆ ล้อม
รอบนอกของเมืองไว้อ่ะครับ ซึ่งในแม่น้ำนั้น จะมีอุโมงค์ซึ่งขุดต่อเข้ามาเมืองอยู่หลายแห่ง อุโมงค์ที่ว่านี่มีขนาดใหญ่พอจะให้เรือแล่นเข้ามาได้
(ไม่ต้องสงสัยว่าเรือจะขึ้่นบกมา จนมาถึงแม่น้ำในเมืองหลวงนี้ได้ยังไง เพราะว่าเค้าจะขุดคลองขนาดยักษ์ให้แม่น้ำที่ว่านี่เชื่อมต่อกับมหาสมุทร) ในเขตรอบนอกของเมือง
จะมีทุ่งขนาดยักษ์ ซึ่งใช้ในการเกษตร ซึ่งที่เรียกว่าทุ่งขนาดยักษ์เพราะต่อให้ใช้ยักษ์กิน มันก็ไม่หมด ซึ่งปลาโตยังได้กล่าวถึงสิ่งก่อสร้างที่โครตจะมหัศจรรย์ ยิ่งกว่า
ช่วงอเมซิ่งต่างแดนของคุณ นวัฒน์ โดยกล่าวไว้ว่า สิ่งก่อสร้างทุกๆหลังจะมีระบบประปาที่ยอดเยี่ยมมาก ซึ่งมีให้ใช้ทั้งน้ำร้อนและน้ำเย็น และอาคารส่วนมาก จะสร้าง
จากหิน โดยผนังของกำแพงหินนั้นจะบุ ด้วยโลหะล้ำค่า่(เช่น ทอง เป็นต้น)และตกแต่งลายอย่างประณีตวิจิตร
ภูมิทัศน์ของเมืองหลวงที่กล่าวถึงในด้านบนก็จะประมาณนี้ 


มหานครแห่งนี้เป็นแค่เรื่องแต่งหรือเปล่า???

คำตอบคือใช่ครับ แต่เฉพาะเมื่อประมาณสองพันกว่าปีก่อนเท่านั้น 
ในช่วงปลายปี 1800 ยอดชายชาวอเมริกันคนหนึ่งซึ่งมีนามว่า Ignatius Donnelly(อิกแนเทียส ดอนเนลลี่) ซึ่งได้อ่านเรื่องนี้ก็ได้เกิดคลั่งไคล้ เรื่องนี้เข้า คลั่งไคล้ยิ่งกว่าสาวไทยคลั่งดาราเกาหลี ได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่า
Atlantis, the Antediluvian World(มหานครแอตแลนติส โลกแห่งชนเผ่าโบราณ) ซึ่งไอ้หนังสือนี่ดันติด bestseller ซึ่งขายดียิ่งกว่าแผ่นก๊อปของพี่เบริด
อิกแนเทียสได้ศึกษาเรื่องน้ำท่วมที่เกิดขึ้นใน อียิปต์และเม็กซิโก หลังจากที่เรียนเรื่องนี้จนช่ำชองเค้าก็เชื่อว่า เรื่องภัยพิบัติที่ปลาโตเขียนไว้นั้น เป็นเรื่องจริง
หลังจากนั้นเป็นต้นมา เรื่องของมหานครแห่งนี้ก็ถูกเขียนขึ้นอีกหลายครั้ง จากนักเขียนหลายๆคน

ข้อเท็จจริง

ทฤษฏีที่ได้รับความเชื่อถือมากที่สุดนั้น มาจากนักโบราณคดีชาวกรีกมีนามว่า Angelos Galanopoulos(แองเจลอส กาลาโนพูโลส) ซึ่งได้กล่าวไว้เมื่อปี 1860
ซึ่งเค้าได้กล่าวถึงช่วง 1500 ปีก่อนคริสต์ศักราช ซึ่งได้เกิดภูเขาไฟระเบิดขึ้นที่เกาะ Santorini(ซานโตรินี่) ซึ่งตั้งอยู่ในเขตเมดิเตอเรเนียน ซึ่งแองเจลอสเชื่อว่า
ภัยพิบัติในครั้งนั้นได้พรากชีวิตของชาวกรีกไปแทบจะทุกคนนับว่าเป็นความชิบหายที่น่าเศร้า และแองเจลอสยังกล่าวออกมาอย่างมั่นใจโดยไม่กลัวหน้าแตกแล้วมี
คนมาเหยียบว่า ความชิบหายครั้งนี้แหละที่ทำให้มหานครแอตแลนติสจมหายไปในทะเล แล้วกลายเป็นที่อยู่ของปลาการ์ตูน ถุ้ย!!! 

หากมันมีจริงๆมันจะตั้งอยู่ตรงไหนล่ะ?
บริเวณที่แน่นอนของมหานครแอตแลนติส เป็นคำถามที่ผู้คนมากมายถวิลหาคำตอบ และคนผู้นึงกล้าที่จะออกมาตอบคำถามนั้น เค้าคือนาย J.M. Allen ผู้ซึ่ง
เป็นล่ามหลวงที่ทำงานภายใต้การบังคับบัญชาของทหารอากาศแห่งเมืองผู้ดี ได้ออกมาพูดอย่างมั่นใจว่า มหานครแอตแลนติสตั้งอยู่ใน Altiplano,ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ
Andes Mountain ใน Bolivia และยังมี Psychic channeler ชื่อดังผู้มีนามว่า Edgar Cayce(เอ็ดการ์ เคซ์)(ขอแทรกนิดนึงครับ Psychic channeler นี่
ไม่ต้องเอาไปแปลเลยครับมันไม่มีหรอก ความหมายของมันคือ พวกที่ติดต่อกับวิญญาณได้ครับเหมือนถามผีน่ะ แต่ไม่เหมือนคุณริวนะเพราะคุณริวเค้ามีเทพกวนอู 555
ก็คือถ้าเทียบกับคุณริว ก็คือ คุณริวน่ะผีเกลียด ส่วนนายเอ็ดการ์ที่เป็น Psychic channeler น่ะผีรัก
อยากช่วยเหลือหรือไม่ก็ขู่ให้ผีกลัวได้หรือไม่ก็ สัมผัสผีได้ หรืออีกความหมายนึงของ Psychic channeler
ก็คือ Spiritual Counselor ขอให้จำไว้เลยนะครับเพราะมันเป็นความรู้ที่ล้ำค่ามาก ไม่ใช่สิ่งที่จะหาได้ในอินเทอร์เน็ต อย่างน้อยผมก็หาไม่ได้แต่ไปค้นหนังสือ ถึงได้มา จะเรียกว่า หมอดูก็ได้ นักพยากรณ์ก็ได้ หรือจะเรียกว่า พวกมีปากก็พูดไปน้ำลายไม่ได้ซื้อก็ได้ ฮ่าฮ่า ล้อเล่นครับล้อเล่นครับ อันสุดท้ายน่ะ)
ต่อเลย นายเอ็ดก้าร์ เคซ์เชื่อว่า มหานครแห่งนี้อยู่ใกล้กับ Bimini Island(อยู่ในเมกานั่นแหละ) นอกจากนี้ยังมีผู้มีชื่อเสียงอีกหลายคนเชื่อว่า มันอยู่ในอเมริกากลาง
หรือแม้กระทั่งแถวๆแอฟริกา แต่ก็ยังนักทฤษฏีอีกมากมายที่บอกว่ามันเป็นแค่นิทานปรัมปรา

Altiplano ที่นายแอลเลนกล่าวถึง
จบแล้วครับเรื่องนี้ฮ่าๆ
พวกคุณล่ะเชื่อกันหรือเปล่า เรื่องนี้เคยเป็นเรื่องที่ระบาดกันในเว็บของนักดำน้ำอย่างหนัก หนักยิ่งกว่าโรคเชื้อราน้ำกัดเท้าอีกนะ
แปลครั้งแรกเมื่อ 22 พฤษภาคม 2012 เผยแพร่ครั้งแรกที่  HERE

วันอาทิตย์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2555

[SCP-TRANSLATION PROJECT]SCP-973 ตำรวจกำมะลอ

ลักษณะโดยประมาณของ SCP-973-2(ไม่ใช่ตัวมันแต่รูปร่างมันจะประมาณนี้) 

ลักษณะโดยประมาณของ SCP-973-1(ไม่ใช่ตัวมันแต่รูปร่างมันจะประมาณนี้)


โค้ดเนม:SCP-973 ระดับความอันตราย:Euclid(ทางองกรณ์เข้าใจมันแต่แค่ส่วนหนึ่ง และอาจมีอันตรายแม้อยู่ในสภาพปกติ)

วิธีกักกัน

เราไม่ต้องกักกันมันเพราะมันไม่ไปไหน แต่ว่ามันจะอยู่ในเขต ██ ที่สหรัฐอเมริกา 
เราจึงใช้ดาวเทียมสื่อสารจับตาดูระยะ 60 กิโลเมตรของเขตนั้น
หากใครก็ตามที่พยายามจะเข้ามาในเขต(โดยการขึ้นทางด่วน)ในช่วง 22.00-4.30 จะมีคนขององกรณ์คอยโบกให้อ้อมไปทางอื่น หากใครบุกรุก
จะถูกเข้าจับกุึมทันทีโดยจะใช้กำลังอย่างไม่ปราณีและหากพยายามสู้จะถูกกักตัวไว้ด้วย(นอกจากโดนอัดฟรีแล้วยังโดนขัง)
รูปพรรณสัณฐาน

SCP-973 จะมีสองร่างร่างแรกมีโค้ดเนมว่า SCP-973-1 รูปร่างมันเหมืิอนรถตำรวจ ซึ่งตำรวจลาดตระเวนของรัฐ ███████ ใช้ในปี 1970ซึ่งมันเป็นรถที่ซอมซ่อมาก
คนที่เคยเห็นมันส่วนใหญ่จะจำมันได้เพราะมันมีรอยเว้าขนาดใหญ๋บริเวณฝากระโปรงและบริเวณประตู กระจกหน้ามีรอยแตกขนาดใหญ่เหมือนโดนควายชนมา
นอกจากนี้ยังสนิมเขรอะยังกะว่ามันไปนอนเล่นในทะเลมา กันชนหลังก็จะหลุดแหล่มิหลุดแหล่้เล่นเอาคนที่ขับตามหลังเสียวกันเพลิน

ส่วน SCP-973-2 นั้นเป็นคนรูปร่างหน้าตาคล้ายๆกับพวกคัลคัสเชียน(พวกที่อยู่แถวๆเทือกเขาคอเคซัสในอเมริกา)เป็นชายอายุประมาณ 40 กว่าปีสวมยูนิฟอร์ม
ของตำรวจลาดตระเวนของรัฐ ███████ ซึ่งยูนิฟอร์มนี้ใช้ในช่วงปี 1970 เช่นกัน ซึ่งมีลักษณะ หัวล้านรูปร่างท้วมๆและไว้หนวดทรง handlebar

SCP-973 จะปรากฏตัวออกมาในตอนกลางคืนเวลาที่มียานพาหนะเข้าไปในเขตการทำงานของมัน(มันคิดว่ามันเป็นตำรวจมั้ง) และมันจะขับตามยานพาหนะที่ขับเกิน
สปีดที่ตัวมันกำหนด(ซึ่งเราไม่รู้ว่าเท่าไหร่แต่มันจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ) แต่ส่วนใหญ่มันจะตามคนที่ขับเกิน 85km/h ส่วนรองลงมาคือ 53.3 km/h กะ 112.7 km/h
และเราก็ยังไม่รู้ว่าทำไมมันกำหนดสปีดลิมิตของรถคนอื่นๆแบบนี้ ในยามที่ใครขับเกินสปีดที่มันจะหนด มันจะปรากฏตัวออกมาข้างหลังคนที่ขับเร็วเกินกำหนดในระยะ
ประมาณ 0.4 กิโลเมตร(อร๊างงงงชอบแทงข้างหลัง) มันจะเปิดหวอเปิดไซเรนแล้วไล่ตามคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ด้วยความเร็วสูง และมันก็จะเปิดข้อความบางอย่าง
ซึ่งจะเล่นซ้ำไปซ้ำมาในรถคันนั้น ซึ่งข้อความนั้นจะพูดเป็นสำนวนว่า"วิ่ง วิ่ง วิ่ง,[ข้อมูลถูกลบ]" และคนที่พยายามจะขับหนีมันก็ถูกมันตามทันและจับกุมในภายในเวลา
1-6 นาที(สถิติดีที่สุด ที่หนีมันได้คือ 6 นาทีจากนั้นก็ถูกจับ 555) และเมื่อถูกมันจับมันจะ[ข้อมูลถูกลบ] (อ๊าาาาสงสัยเหยื่อจะโดนมัน ขุดทองพูดเล่นครับพูดเล่น ส่วนใหญ่ที่เซ็นเซอร์ไว้กับลบออกเนี่ย มันจะเป็นเรื่องที่โหดร้ายมาก) มีคนถูกพบ 35 คน(ทั้งเป็นและตาย)และมียานพาหนะที่ถูกพบอีก 90 คันในบริเวณที่มันออกปฏิบัติการ
คนที่ถูกพบนั้นไม่มีใครมีสภาพเดิมสักคน สิ่งที่มันทำกับคนที่ 35 คนที่ถูกพบนั้นมีทั้ง ชำแหละ(สยองว่ะ),ข่มขืน(อ๊า ยาราไนก้า)แล้วยังมี[ข้อมูลถูกลบ](เออลบไปเหอะ
อ่านแล้วจะอ๊วกแตก) และมีอยู่ 3 คนที่มันเล่นซะเละจนระบุไม่ได้เลยว่าเป็นใคร(อ๊วกกก) และมีผู้รอดชีวิต 5 คน(จาก 35 คนที่พูดถึง)ซึ่งทางองกรณ์ได้รับไปดูแลไว้ใน
อ้อมอกอ้อมใจ 5 คนนั้นทุกๆคนชอกช้ำอย่างมากโดยเฉพาะทางจิตใจ ส่วนยานพาหนะนั้นทุกๆคันโดนชนอย่างรุนแรงและด้านในก็จะโดนเผาซะจนดำไปหมด
(ข้างนอกมันชนข้างในมันเผา)


บทเสริม - 1:ทางองกรณ์ได้พยายามทำลายถนนที่ SCP-973 ออกปฏิบัติการแต่ก็ไม่เป็นผล ถึงจะทำลายถนนที่เ้ก่าไปมันก็ไปปรากฏตัวที่ใหม่ในบริเวณใกล้ๆกัน


บทเสริม - 2:08/██/20██ - ทางองกรณ์พยายามที่จะจับ SCP-973 และนำไปขังไว้แต่ก็ไม่สำเร็จและสิ่งที่ต้องแลกมากับการกระทำครั้งนี้คือชีวิตของเจ้าหน้าที่พิเศษ
9 คน ส่วน SCP-973 นั้นหนีไปได้และทางองกรณ์เชื่อว่ามันอาจจะบาดเจ็บแต่ก็แค่เล็กน้อยเท่านั้น และมันก็มาปรากฏตัวอีกครั้งในอีก 9 วันถัดมา คนที่เห็นมันึคนแรก(เป็นคนขององกรณ์ รอดมาได้เพราะไม่ได้ขับเร็วเกินกำหนด) บอกว่าหน้าตามันเปลี่ยนไป ซึ่งผู้ที่เห็นมันคือ(ต้องบอกว่าผู้ที่ถูกส่งไปสังเกตุการณ์มากกว่า) 
เจ้าหน้าที่พิเศษ ████████ และเราก็ได้บันทึกบทสัมภาษในตอนนั้นไว้


เจ้าหน้าที่พิเศษ ████████ :มันบอกไม่ถูกอ่ะนะ บอกได้แค่ว่ามันดูไม่เหมือนเดิม ไม่เหมือนเดิมเลยจริงๆที่ผมพอจะจำได้ก็คือ ตาของมันกลายเป็นสีแดง
และปากมันก็เหมือนกับหลุมมืดๆหลมหนึ่ง มันไม่มีฟันไม่ลิ้น มันเหมือนหลุมจริงๆน่ะ ตอนนั้นอยู่ดีๆมันก็ตามผมมาทั้งๆที่ผมขับช้า ผมก็ไม่ได้สังเกตหน้าตามันเท่าไหร่
้เพราะผมมัวแต่ยิงมันอยู่

แปลเมื่อ 8 พฤษภาคม เผยแพร่ครั้งแรกที่  Here