วันพุธที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2555

[Donnie Decker - The Rain Boy] เด็กชายผู้มากับสายฝน



นานมาแล้วในช่วงปี 19xx มีเด็กชายคนหนึ่งนามว่า ดอนนี่ เด็คเกอร์(Donnie Decker) เด็กชายคนนี้เป็น
หนึ่งในบุคคลที่ลึกลับและน่าพิศวงมากที่สุดของโลก ปัจจุบันเค้าเป็นตายร้ายดียังไง ไม่ได้มีข่าวให้เห็น
และหากเค้ายังมีชีวิตอยู่ ในปีนี้เค้าคงจะมีอายุอานามราวๆ 49 ปี เค้าถูกขนานนามว่า The Rain Boy
เด็กชายผู้มากับสายฝน ซึ่งเหตุใดเค้าจึงถูกเรียกขานเช่นนี้ วันนี้!!! พวกท่าน!!! 
จะได้รู้กัน!!!

เด็กชายผู้มีนามว่า Donnie Decker(ต่อไปจะเรียกสั้นว่่า ดอน)อาศัยอยู่กับปู่ของเค้า ซึ่งไอ้ปู่นี่ก็ชั่วมาก
ชอบขุดทองหลานตัวเอง(ข่มขืนนั่นแหละ)  หลังจากไอ้แก่ตายลง ดอนหลุดพ้่นจากนรก นรกที่ทำให้
เค้าอั้นขี้ไว้ไม่ได้ พอปู่ของเค้าสิ้นแฮไปแน่นอนว่าเค้าต้องไปอยู่ในบ้านเด็กกำพร้า ซึ่งก็ถือว่าโชคดี
เพราะเข้าไปอยู่ได้ไม่นานก็ได้ถูกครอบครัว Keefers(คีเฟอร์) รับอุปการะไป เค้าเป็นเด็กมีปัญหานิดหน่อย
(มีปัญหาก็ต้องทายปลาอะไรอยู่่ในน้ำ ถุ้ย!! ไม่ใช่) แต่มีครั้งหนึ่งเค้าสร้างปัญหาจนเรื่องต้องถึงตำรวจ
แต่ว่าหลังจากตำรวจ ได้รู้ว่าเค้าเคยโดนปู่ขุดทอง ไอ้เฒ่าหัวงูนั่นแหละ ตำรวจก็ปล่อยตัวเค้าไป

นี่คือไอ้แก่กำพร้า(กำมีดพร้า)
นี่คือผู้ใหญ่กำ(มีด)พร้า

แล้ววันหนึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ชื่อว่า Jack Rundle ถูกเรียกมาที่บ้านคีเฟอร์ เนื่องด้วยพวกคีเฟอร์พบของ
เหลวประหลาดซึ่งมาจากไหนก็ไม่รู้(ฮึ่ยหรือว่าจะเป็นผี FAB) พอแจ็คมาถึง แจ็คก็ตรวจดู ดูโน่น ค้นนั่น
ค้นนี่หลายๆอย่างแล้ว แจ็คก็ไปพาดอนนี่ลงมาจากบนบ้าน พามาดูตรงดูตรงที่ของเหลวปริศนาเจิ่งนองอยู่ ทันใดนั้น ของเหลวพวกนั้นลอยขึ้นจากบนพื้น แล้วพุ่งเข้ากระแทกแจ็ค แจ็คล้มลง 
และตกใจมากแทบคุม สติไว้ไม่อยู่ แต่เค้าก็รู้สึกได้ว่าของเหลวพวกนั้นมันคล้ายๆกับน้ำมัน หลังเหตุการณ์
นั้นจบลง เค้าตัดสินใจที่จะมาอยู่ในบ้านของคีเฟอร์ เค้าไม่ได้มาเอาแก้แค้นเรื่องที่เกิดขึ้นกับเค้า 
เพียงแต่เค้าอยากจะรู้ ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเองนั้นมันคืออะไรกันแน่และมันเกิดขึ้นเพราะอะไร ตอนแรกแจ็คและพวกคีเฟอร์สงสัยดอนนี่ หลังจากผ่านไป 2-3 อาทิตย์ เค้าก็ได้รู้ว่า ดอนนี่ คือสาเหตุของ
เรื่องประหลาดนั่นจริงๆ จากการที่เค้าจับตาดูบริเวณภายในบ้านเป็นเวลา 2-3 อาทิตย์
เรื่องทั้งหมดที่เค้าเห็นทำให้เค้ามั่นใจว่าดอนนี่คือสาเหตุ

ในช่วง 3-5 โมงเย็นทุกวันๆ จะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับดอนนี่ ซึ่งแจ็คก็ได้ไปเห็นเข้าและได้แอบติดตามเรื่องนี้่ หลังจากเค้าจับตาดูดอนนี่ได้ 2-3 วัน เค้าก็ได้เห็นสิ่งที่เค้าสงสัย มีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นกับดอนนี่ ในวันนั้นดอนนี่แหกปากเสียงดังว่า
"มันเผาฉัน อ๊ากกก มันเผาฉัน"(ใครไปแย่งมันเผาของมันว่ะ)
จากนั้นดอนนี่ก็ถอดเสื้อออก ซึ่งพวกคีเฟอร์และแจ็คก็ได้เห็น สร้อยกางเขนของนิกายคาธอลิค
ดอนนี่กระชากมันออก และฟาดมันลงกับพื้น แล้วก็นวดหน้าอกตัวเองเบาๆ แจ็คเดินเข้าไปใกล้ๆ
ดอนนี่และหยิบสร้อยนั่นขึ้นมา แต่ก็ทิ้งมันทันทีเพราะมันร้อนมาก พอเค้าเข้าไปดูดอนนี่
เค้าก็ได้เห็นรอยไหม้ตรงอกของดอนนี่ ซึ่งมันไหม้เป็นรูปกางเขน แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไป
ยุ่งหรือไปถูกตัวดอนนี่ หลังจากเวลาผ่านไป 2-3 อาทิตย์ซึ่งแจ็คได้ออกจากบ้านของ
พวกคีเฟอร์ เค้าได้ไปเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนๆของเค้าฟัง ซึ่งๆคนที่ฟังก็อยากเห็นดอนนี่ทั้งนั้น
แจ็คกับเพื่อนก็เลยมาหาดอนนี่ที่ห้อง(แน่นะไอ้นี่ หัวกระไดไม่แห้งเลย ฮ่าฮ่า)
พอเคาะประตูปรากฏว่าดอนนี่ไม่เปิด พวกเค้าเลยพังประตูเข้าไป
ภาพที่พวกเค้าเห็น มันเป็นภาพที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น ดอนนี่ลอยอยู่กลางอากาศ ที่คอของเค้ามีเลือดไหลอยู่
มันเหมือนกับมีพลังงานบางอย่างอ่ะค่ะ(พูดแบบคุณเจน) บีบคอเค้าแล้วยกขึ้นไป จากนั้นเค้าก็ปลิว
ไปกระแทกกับกำแพง(ลักณะเหมือนจะโดนพลังงานจับโยน)

จากนั้น 2 ปี ดอนนี่ก็ถูกจับด้วยเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้ง ไม่เว้นแม้แต่ตอนอยู่ในคุก
ดอนนี่เรียกของเหลวประหลาดออกมาอีกแล้ว
ให้ตายเถอะดอน นายทำอะไร นายสาวแหนอย่างงั้นเหรอ?(พูดแบบ Mr.bryan)
หลังจากดอนนี่หลั่งสารประหลาดในคุก เจ้าหน้าที่คนนึงซึ่งใจดีกับนักโทษเสมอได้ถามเค้าว่า
"นายทำมันได้ยังไง"
           "ผมควบคุมมัน" ดอนนี่ตอบ
"ผมลองผิดลองถูกหลายครั้ง แล้วผมจะทำให้ดู ผมจะทำให้ของเหลวพวกนี้ ตกใส่กระบาลเดวิดที่นอนสาวแหนอยู่ห้องข้างๆ"
"งั้นเหรอ"เจ้าหน้าที่ตอบ
จากนั้นเค้าก็ไปดูห้องข้างๆ ซึ่งเดวิดนอนอยู่ และก็เป็นอย่างที่ดอนนี่บอก เสื้อของเดวิดเปียกโชกไปหมด
หลังจากนั้นไม่นาน ดอนนี่ก็ถูกปล่อยตัว และเค้าได้ไปทำงานอยู่ที่ร้านอาหารแถวๆนั้น
ซึ่งเค้าก็ยังคงเรียกของเหลวปริศนามาแกล้งผู้อื่นอยู่เสมอ

เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจริงๆ แถวๆ  Philadelphia, PA(เพนซิลวาเนีย)
สำหรับวันนี้ขอลาไปก่อนครับ

วันจันทร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2555

[Legendary Monster Project]The Kraken pt.1




เรื่องคราเคนสามารถพูดได้เต็มปากว่าเป็นตำนานที่น่ากลัวที่สุดของเหล่านักเดินเรือทั้งหลาย ตามที่้เล่าๆกันมารูปร่างคร่าวๆของมันคือ มันตัวใหญ่อภิมหาใหญ่

มีหนวดยุ่บยั่บเหมือนปลาหมึก ซึ่งไอ้หนวดนี่ยาวมากพอที่จะ เิอื้อมไปจนถึงยอดของเสากระโดงของเรือทุกๆลำ(ในศตวรรษในที่ 19) วิธีโจมตีเรือลำต่างๆของมัน โดยมากมันจะใช้วิธี
ใช้หนวดโอบรัดรอบลำเรือ แล้วพลิิกให้คว่ำเพื่อจะแดกผู้โดยสารทั้งหลาย ซึ่งก็มีหลายรสชาติ ไม่่ว่าจะเป็นรสกลาก เกลื้อน หรือจะเป็นรสเริมหรือรสหนองใน มันก็แดกหมด
โดยไม่เลือก(อ่า กินง่ายเลี้ยงง่ายโตง่าย ฮ่าฮ่า) จากที่ฟังๆมามันก็แึ้ค่เรื่องของสัตว์ประหลาดตะกละที่มากินคนทำไมไม่รู้ มันก็ไม่เห็นจะมีัอะไรน่าตื่นเต้นใช่มั้ยล่ะึัครับ
แต่อย่าพึ่งผิดหวัง เพราะเรื่องของมันไม่ได้มีแค่นี้(ถ้ามีแค่นี้มันอยู่เหนือเรื่องสัตว์ประหลาดๆในทะเลตัวอื่นๆได้ยังไง ใช่มั้ยล่ะ?) เรื่องของมันไม่ได้มีแค่นี้
เพราะเรื่องมันถูกสร้างจากเรื่องจริง แล้วผมก็ไม่ได้พูดลอยๆ 
เพราะผมมีหลักฐานของเรื่องนี้ ฮ่าฮ๋า เกริ่นจบแล้วไปเริ่มเรื่องหลักกันดีกว่า
เรื่องมีอยู่ว่า ไอ้ตัวนี้มันไม่ได้มีตัวเดียว เพราะตัวหนึ่งจะมีเขาส่วนอีกตัวไม่มี แต่ว่าที่มันเหมือนกันคือ มันเป็นยักษ์เหมือนกัน และมันมีหนวดยุ่บยั่บเหมือนกัน
ซึ่งไอ้พวกนี้ ตามหลักฐานของคนยุคโบราณแล้ว มันระบุว่าไอ้พวกนี้มีอยู่จริงในยุคนั้น(ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเชื่อถือได้แค่ไหน) ตามบันทีกตำนานสกิลลาแห่งกรีกโบราณ
นายโอดิสเซียสนักเดินทาง เคยเห็นสัตว์ประหลาดๆตามลักษณะที่เรียกว่า คราเคน ซึ่งเขาอ้างว่าเค้าแล่นเรือผ่านมันไปโดยที่มันไม่ได้จู่โจมเค้า ซึ่งไอ้ตัวที่เค้าเห็นมันมี 6 หัว นอกจากนี้ในปี 1555 โอลาอัส แมกนัส ได้เขียนเรื่องของสัตว์ทะเลชนิดหนึ่งซึ่งเขาได้พบเห็นไว้ว่า มีเขาแหลมรอบหัว 
และมีรูปร่างเหมือนกับรากไม้(หนวดปลาหมึกนั่นแหละ)
ซึ่งหนวดแต่ล่ะอันมีขนาดประมาณ 10-12 ศอก (2.5-3 เมตร) มีสีดำขลับ และมีตาขนาดยักษ์ซึ่งแววตาน่าขนลุกขนพองมาก และหลังจากนั้นเรื่องราวของคราเคน
ก็ได้เงียบหายไป จนกระทั่งถูกขุดคุ้ยปมขึ้นมาอีกครั้งในปี 1735 ในหนังสือเรื่อง Systema Naturae
ซึ่งเขียนโดย Carolus Linnaeus(โคราลัส ลินเนียส)
ซึ่งในหนังสือเล่มนี้ ได้กล่าวเรื่องของคราเคนไว้ว่า มีผู้เคยพบสัตว์ประหลาดชนิดนี้เมื่อศตวรรษที่ 12 ในแถบทะเลของนอเวย์ ซึ่งไอ้โคราลัส(ผู้เขียน)ได้ตั้งประเด็นแย้งว่า
ไอ้นี่ไอ้คราเคนเนี่ยมันเป็นแค่เกาะๆหนึ่ง ซึ่งคนที่เห็นอุปทานไปเองว่ามันเป็นสัตว์ประหลาด เค้ายังบอกอีกว่าพวกนั้นคงกลัวจนขี้ขึ้นสมอง ทำให้คนลืมมันไปอีกครั้ง
เพราะเชื่อ โคราลัส จนกระทั่งปลายปี 1752 หัวหน้าบาทหลวงแห่งเบอร์เกน นาย Erik Ludvigsen Pontoppidan(อีริค ลุดวิกเซ่น ปันทอบพิดอน ชื่ิิิือแม่งมาเต็ม) เขียนหนังสือเรื่อง The Natural History of Norway(ประวัติศาสตร์ธรรมชาิติ
แห่งนอร์เวย์) ขึ้น เขาบรรยายเกี่ยวกับคราเคนในทฤษฏีที่โต้แย้งกับโคราลัสโดยสิ้นเชิง ซึ่งโคราลัสคงจะแสบดากไม่น้อยเพราะมันแย้งกับทฤษฏีของเขาอย่างชัด
เจนแจ่มแจ้ง โดยนายอีริค อธิบายว่า "คราเคนมันเป็นสัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างไม่ต้องสงสัย คนที่บอกว่ามันไม่มีจริงก็คงจะเป็นแค่คนบ้า
ที่ชอบสาวแหนคนหนึ่ง ไอ้ึคราเคนเนี่ยขนาดจริงๆของมันก็คือ 1.5 ไมล์ ซึ่งมันก็ใหญ่พอๆกับเกาะนี่เอง เพราะฉนั้นคนที่พูดว่ามันเป็นแค่เกาะก็ขอให้คิดใหม่
เพราะถึงมันจะเป็นเกาะจริงๆ มันก็เป็นเกาะมีชีวิต" นอกจากนี้บิชอปอีริคยังบอกอีกว่า คราเคนมันเป็นสิ่งมีชีวิตสายพันธ์เดียวกับปลาดาว 
บิชอปอีริค ยกให้คราเคนเป็นสิ่งมีชีวิตที่อันตรายที่สุดสำหรับชาวเรือ ซึ่งเค้าเชื่ออย่างฝังใจยิ่งกว่าสาวไทยคลั่งดาราเกาหลีว่ามันมีอยู่จริงๆ นอกจากนี้เค้ายังกล่าวทิ้งท้าย
ไว้ว่า "คราเคนมันเป็นสัตว์ที่อยู่ในทะเลลึกซึ่งมนุษย์ไม่สามารถหยั่งถึง แต่มันขึ้นมาบนผิวน้ำด้วยเหตุประการใดคงจะได้รู้คำตอบกันซักวัน"(ซึ่งก็ไม่รู้ทำไมตานี่
มั่นใจซะเหลือเกิน) ผมขอโทษที่ผมลืมเขียนมาเอามาไว้หลังแล้วกัน บิชอปอีริคได้กล่าวถึงสาเหตุที่คราเคนโจมตีเรือต่างๆเค้ากล่าวว่า"ฝูงปลาน้อยใหญ่ชอบที่จะมา
อาศัยอยู่ใกล้ๆกับคราเคน ซึ่งพวกชาวประมงก็จะตามไปจับปลาพวกนั้น ซึ่งแหวกว่ายอยู่บริเวณใกล้เคียงกับคราเคน พอชาวประมงเข้าไปยุ่มย่ามมันก็เกิดรำคาญเลย
โจมตีเข้าให้"
แปลครั้งแรกเมื่อ 28 พฤษภาคม 2012 เผยแพร่ครั้งแรกที่ HERE





[The Lost City of Atlantis] มหานครแอตแลนติสอารยธรรมที่รุ่งเรืองที่สุุดบนโลกมนุษย์กับปริศนาการมีตัวตน

The Lost City of Atlantis

เมื่อประมาณ 350 ปีก่อนคริสต์ศักราช(2362 ปีก่อน) Plato นักเขียนชาวกรีก ได้เขียนเกี่ยวกับกับนครแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสถานที่สวยงามใกล้เคียงกับสวรรค์
(สงสัยไอ้ Plato เคยไปสวรรค์) ซึ่งนครแห่งนี้มีลักษณะเป็นเกาะซึ่งตั้งอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติส ซึ่งไอ้นครแห่งนี้ มันจมหายไปเพราะภัยพิบัติบางอย่างด้วยเวลาเพียง
1 วัน 1 คืน(สร้างกันมาเป็นร้อยเป็นพันปี ชิบหายไปในเวลาไม่ถึง 2 วัน) ประวัติศาสตร์ของนครแห่งนี้ที่นาย Plato(จะเรียกเค้าว่าปลาโตแล้วกันขี้เกียจเปลี่ยนภาษา)
บรรยายไว้เกี่ยวกับข้อมูลต่างๆและความสวยงามของนครแห่งนี้ แดกเนื้อที่หนังสือไป 2 เล่ม(ออกแนวเพ้อแล้วนะเนี่ยนายปลาโต)



ความเป็นอยู่ในมหานครแอตแลนติส

นายปลาโตได้กล่าวถึงชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในมหานครแอตแลนติสไว้หลายอย่างแต่ส่วนมากจะพูดถึง ความยอดเยี่ยมทางด้านวิศวกรรมและงานสถาปนิกซะ้เป็นส่วนมาก
(นั่นหมายความว่าชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนนี้จะมีความสะดวกสบายสูงมากนั่นเอง) ในนครนั้นมีทั้ง วัง,ท่าเรือ,วัดและอู่ต่อเรือ อยู่หลายแห่้ง(แสดงให้เห็นถึงความ
กว้างขวางของเมือง ตีความให้กลัวท่านผู้อ่านงงกัน) เมืองหลวงของนครแห่งนี้ตั้งอยู่บนเนินเขาและล้อมรอบไปด้วยแม่น้ำ ซึ่งมันลักษณะเป็นรูปวงแหวน คือเป็นน้ำกลมๆ ล้อม
รอบนอกของเมืองไว้อ่ะครับ ซึ่งในแม่น้ำนั้น จะมีอุโมงค์ซึ่งขุดต่อเข้ามาเมืองอยู่หลายแห่ง อุโมงค์ที่ว่านี่มีขนาดใหญ่พอจะให้เรือแล่นเข้ามาได้
(ไม่ต้องสงสัยว่าเรือจะขึ้่นบกมา จนมาถึงแม่น้ำในเมืองหลวงนี้ได้ยังไง เพราะว่าเค้าจะขุดคลองขนาดยักษ์ให้แม่น้ำที่ว่านี่เชื่อมต่อกับมหาสมุทร) ในเขตรอบนอกของเมือง
จะมีทุ่งขนาดยักษ์ ซึ่งใช้ในการเกษตร ซึ่งที่เรียกว่าทุ่งขนาดยักษ์เพราะต่อให้ใช้ยักษ์กิน มันก็ไม่หมด ซึ่งปลาโตยังได้กล่าวถึงสิ่งก่อสร้างที่โครตจะมหัศจรรย์ ยิ่งกว่า
ช่วงอเมซิ่งต่างแดนของคุณ นวัฒน์ โดยกล่าวไว้ว่า สิ่งก่อสร้างทุกๆหลังจะมีระบบประปาที่ยอดเยี่ยมมาก ซึ่งมีให้ใช้ทั้งน้ำร้อนและน้ำเย็น และอาคารส่วนมาก จะสร้าง
จากหิน โดยผนังของกำแพงหินนั้นจะบุ ด้วยโลหะล้ำค่า่(เช่น ทอง เป็นต้น)และตกแต่งลายอย่างประณีตวิจิตร
ภูมิทัศน์ของเมืองหลวงที่กล่าวถึงในด้านบนก็จะประมาณนี้ 


มหานครแห่งนี้เป็นแค่เรื่องแต่งหรือเปล่า???

คำตอบคือใช่ครับ แต่เฉพาะเมื่อประมาณสองพันกว่าปีก่อนเท่านั้น 
ในช่วงปลายปี 1800 ยอดชายชาวอเมริกันคนหนึ่งซึ่งมีนามว่า Ignatius Donnelly(อิกแนเทียส ดอนเนลลี่) ซึ่งได้อ่านเรื่องนี้ก็ได้เกิดคลั่งไคล้ เรื่องนี้เข้า คลั่งไคล้ยิ่งกว่าสาวไทยคลั่งดาราเกาหลี ได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่า
Atlantis, the Antediluvian World(มหานครแอตแลนติส โลกแห่งชนเผ่าโบราณ) ซึ่งไอ้หนังสือนี่ดันติด bestseller ซึ่งขายดียิ่งกว่าแผ่นก๊อปของพี่เบริด
อิกแนเทียสได้ศึกษาเรื่องน้ำท่วมที่เกิดขึ้นใน อียิปต์และเม็กซิโก หลังจากที่เรียนเรื่องนี้จนช่ำชองเค้าก็เชื่อว่า เรื่องภัยพิบัติที่ปลาโตเขียนไว้นั้น เป็นเรื่องจริง
หลังจากนั้นเป็นต้นมา เรื่องของมหานครแห่งนี้ก็ถูกเขียนขึ้นอีกหลายครั้ง จากนักเขียนหลายๆคน

ข้อเท็จจริง

ทฤษฏีที่ได้รับความเชื่อถือมากที่สุดนั้น มาจากนักโบราณคดีชาวกรีกมีนามว่า Angelos Galanopoulos(แองเจลอส กาลาโนพูโลส) ซึ่งได้กล่าวไว้เมื่อปี 1860
ซึ่งเค้าได้กล่าวถึงช่วง 1500 ปีก่อนคริสต์ศักราช ซึ่งได้เกิดภูเขาไฟระเบิดขึ้นที่เกาะ Santorini(ซานโตรินี่) ซึ่งตั้งอยู่ในเขตเมดิเตอเรเนียน ซึ่งแองเจลอสเชื่อว่า
ภัยพิบัติในครั้งนั้นได้พรากชีวิตของชาวกรีกไปแทบจะทุกคนนับว่าเป็นความชิบหายที่น่าเศร้า และแองเจลอสยังกล่าวออกมาอย่างมั่นใจโดยไม่กลัวหน้าแตกแล้วมี
คนมาเหยียบว่า ความชิบหายครั้งนี้แหละที่ทำให้มหานครแอตแลนติสจมหายไปในทะเล แล้วกลายเป็นที่อยู่ของปลาการ์ตูน ถุ้ย!!! 

หากมันมีจริงๆมันจะตั้งอยู่ตรงไหนล่ะ?
บริเวณที่แน่นอนของมหานครแอตแลนติส เป็นคำถามที่ผู้คนมากมายถวิลหาคำตอบ และคนผู้นึงกล้าที่จะออกมาตอบคำถามนั้น เค้าคือนาย J.M. Allen ผู้ซึ่ง
เป็นล่ามหลวงที่ทำงานภายใต้การบังคับบัญชาของทหารอากาศแห่งเมืองผู้ดี ได้ออกมาพูดอย่างมั่นใจว่า มหานครแอตแลนติสตั้งอยู่ใน Altiplano,ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ
Andes Mountain ใน Bolivia และยังมี Psychic channeler ชื่อดังผู้มีนามว่า Edgar Cayce(เอ็ดการ์ เคซ์)(ขอแทรกนิดนึงครับ Psychic channeler นี่
ไม่ต้องเอาไปแปลเลยครับมันไม่มีหรอก ความหมายของมันคือ พวกที่ติดต่อกับวิญญาณได้ครับเหมือนถามผีน่ะ แต่ไม่เหมือนคุณริวนะเพราะคุณริวเค้ามีเทพกวนอู 555
ก็คือถ้าเทียบกับคุณริว ก็คือ คุณริวน่ะผีเกลียด ส่วนนายเอ็ดการ์ที่เป็น Psychic channeler น่ะผีรัก
อยากช่วยเหลือหรือไม่ก็ขู่ให้ผีกลัวได้หรือไม่ก็ สัมผัสผีได้ หรืออีกความหมายนึงของ Psychic channeler
ก็คือ Spiritual Counselor ขอให้จำไว้เลยนะครับเพราะมันเป็นความรู้ที่ล้ำค่ามาก ไม่ใช่สิ่งที่จะหาได้ในอินเทอร์เน็ต อย่างน้อยผมก็หาไม่ได้แต่ไปค้นหนังสือ ถึงได้มา จะเรียกว่า หมอดูก็ได้ นักพยากรณ์ก็ได้ หรือจะเรียกว่า พวกมีปากก็พูดไปน้ำลายไม่ได้ซื้อก็ได้ ฮ่าฮ่า ล้อเล่นครับล้อเล่นครับ อันสุดท้ายน่ะ)
ต่อเลย นายเอ็ดก้าร์ เคซ์เชื่อว่า มหานครแห่งนี้อยู่ใกล้กับ Bimini Island(อยู่ในเมกานั่นแหละ) นอกจากนี้ยังมีผู้มีชื่อเสียงอีกหลายคนเชื่อว่า มันอยู่ในอเมริกากลาง
หรือแม้กระทั่งแถวๆแอฟริกา แต่ก็ยังนักทฤษฏีอีกมากมายที่บอกว่ามันเป็นแค่นิทานปรัมปรา

Altiplano ที่นายแอลเลนกล่าวถึง
จบแล้วครับเรื่องนี้ฮ่าๆ
พวกคุณล่ะเชื่อกันหรือเปล่า เรื่องนี้เคยเป็นเรื่องที่ระบาดกันในเว็บของนักดำน้ำอย่างหนัก หนักยิ่งกว่าโรคเชื้อราน้ำกัดเท้าอีกนะ
แปลครั้งแรกเมื่อ 22 พฤษภาคม 2012 เผยแพร่ครั้งแรกที่  HERE

วันอาทิตย์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2555

[SCP-TRANSLATION PROJECT]SCP-973 ตำรวจกำมะลอ

ลักษณะโดยประมาณของ SCP-973-2(ไม่ใช่ตัวมันแต่รูปร่างมันจะประมาณนี้) 

ลักษณะโดยประมาณของ SCP-973-1(ไม่ใช่ตัวมันแต่รูปร่างมันจะประมาณนี้)


โค้ดเนม:SCP-973 ระดับความอันตราย:Euclid(ทางองกรณ์เข้าใจมันแต่แค่ส่วนหนึ่ง และอาจมีอันตรายแม้อยู่ในสภาพปกติ)

วิธีกักกัน

เราไม่ต้องกักกันมันเพราะมันไม่ไปไหน แต่ว่ามันจะอยู่ในเขต ██ ที่สหรัฐอเมริกา 
เราจึงใช้ดาวเทียมสื่อสารจับตาดูระยะ 60 กิโลเมตรของเขตนั้น
หากใครก็ตามที่พยายามจะเข้ามาในเขต(โดยการขึ้นทางด่วน)ในช่วง 22.00-4.30 จะมีคนขององกรณ์คอยโบกให้อ้อมไปทางอื่น หากใครบุกรุก
จะถูกเข้าจับกุึมทันทีโดยจะใช้กำลังอย่างไม่ปราณีและหากพยายามสู้จะถูกกักตัวไว้ด้วย(นอกจากโดนอัดฟรีแล้วยังโดนขัง)
รูปพรรณสัณฐาน

SCP-973 จะมีสองร่างร่างแรกมีโค้ดเนมว่า SCP-973-1 รูปร่างมันเหมืิอนรถตำรวจ ซึ่งตำรวจลาดตระเวนของรัฐ ███████ ใช้ในปี 1970ซึ่งมันเป็นรถที่ซอมซ่อมาก
คนที่เคยเห็นมันส่วนใหญ่จะจำมันได้เพราะมันมีรอยเว้าขนาดใหญ๋บริเวณฝากระโปรงและบริเวณประตู กระจกหน้ามีรอยแตกขนาดใหญ่เหมือนโดนควายชนมา
นอกจากนี้ยังสนิมเขรอะยังกะว่ามันไปนอนเล่นในทะเลมา กันชนหลังก็จะหลุดแหล่มิหลุดแหล่้เล่นเอาคนที่ขับตามหลังเสียวกันเพลิน

ส่วน SCP-973-2 นั้นเป็นคนรูปร่างหน้าตาคล้ายๆกับพวกคัลคัสเชียน(พวกที่อยู่แถวๆเทือกเขาคอเคซัสในอเมริกา)เป็นชายอายุประมาณ 40 กว่าปีสวมยูนิฟอร์ม
ของตำรวจลาดตระเวนของรัฐ ███████ ซึ่งยูนิฟอร์มนี้ใช้ในช่วงปี 1970 เช่นกัน ซึ่งมีลักษณะ หัวล้านรูปร่างท้วมๆและไว้หนวดทรง handlebar

SCP-973 จะปรากฏตัวออกมาในตอนกลางคืนเวลาที่มียานพาหนะเข้าไปในเขตการทำงานของมัน(มันคิดว่ามันเป็นตำรวจมั้ง) และมันจะขับตามยานพาหนะที่ขับเกิน
สปีดที่ตัวมันกำหนด(ซึ่งเราไม่รู้ว่าเท่าไหร่แต่มันจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ) แต่ส่วนใหญ่มันจะตามคนที่ขับเกิน 85km/h ส่วนรองลงมาคือ 53.3 km/h กะ 112.7 km/h
และเราก็ยังไม่รู้ว่าทำไมมันกำหนดสปีดลิมิตของรถคนอื่นๆแบบนี้ ในยามที่ใครขับเกินสปีดที่มันจะหนด มันจะปรากฏตัวออกมาข้างหลังคนที่ขับเร็วเกินกำหนดในระยะ
ประมาณ 0.4 กิโลเมตร(อร๊างงงงชอบแทงข้างหลัง) มันจะเปิดหวอเปิดไซเรนแล้วไล่ตามคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ด้วยความเร็วสูง และมันก็จะเปิดข้อความบางอย่าง
ซึ่งจะเล่นซ้ำไปซ้ำมาในรถคันนั้น ซึ่งข้อความนั้นจะพูดเป็นสำนวนว่า"วิ่ง วิ่ง วิ่ง,[ข้อมูลถูกลบ]" และคนที่พยายามจะขับหนีมันก็ถูกมันตามทันและจับกุมในภายในเวลา
1-6 นาที(สถิติดีที่สุด ที่หนีมันได้คือ 6 นาทีจากนั้นก็ถูกจับ 555) และเมื่อถูกมันจับมันจะ[ข้อมูลถูกลบ] (อ๊าาาาสงสัยเหยื่อจะโดนมัน ขุดทองพูดเล่นครับพูดเล่น ส่วนใหญ่ที่เซ็นเซอร์ไว้กับลบออกเนี่ย มันจะเป็นเรื่องที่โหดร้ายมาก) มีคนถูกพบ 35 คน(ทั้งเป็นและตาย)และมียานพาหนะที่ถูกพบอีก 90 คันในบริเวณที่มันออกปฏิบัติการ
คนที่ถูกพบนั้นไม่มีใครมีสภาพเดิมสักคน สิ่งที่มันทำกับคนที่ 35 คนที่ถูกพบนั้นมีทั้ง ชำแหละ(สยองว่ะ),ข่มขืน(อ๊า ยาราไนก้า)แล้วยังมี[ข้อมูลถูกลบ](เออลบไปเหอะ
อ่านแล้วจะอ๊วกแตก) และมีอยู่ 3 คนที่มันเล่นซะเละจนระบุไม่ได้เลยว่าเป็นใคร(อ๊วกกก) และมีผู้รอดชีวิต 5 คน(จาก 35 คนที่พูดถึง)ซึ่งทางองกรณ์ได้รับไปดูแลไว้ใน
อ้อมอกอ้อมใจ 5 คนนั้นทุกๆคนชอกช้ำอย่างมากโดยเฉพาะทางจิตใจ ส่วนยานพาหนะนั้นทุกๆคันโดนชนอย่างรุนแรงและด้านในก็จะโดนเผาซะจนดำไปหมด
(ข้างนอกมันชนข้างในมันเผา)


บทเสริม - 1:ทางองกรณ์ได้พยายามทำลายถนนที่ SCP-973 ออกปฏิบัติการแต่ก็ไม่เป็นผล ถึงจะทำลายถนนที่เ้ก่าไปมันก็ไปปรากฏตัวที่ใหม่ในบริเวณใกล้ๆกัน


บทเสริม - 2:08/██/20██ - ทางองกรณ์พยายามที่จะจับ SCP-973 และนำไปขังไว้แต่ก็ไม่สำเร็จและสิ่งที่ต้องแลกมากับการกระทำครั้งนี้คือชีวิตของเจ้าหน้าที่พิเศษ
9 คน ส่วน SCP-973 นั้นหนีไปได้และทางองกรณ์เชื่อว่ามันอาจจะบาดเจ็บแต่ก็แค่เล็กน้อยเท่านั้น และมันก็มาปรากฏตัวอีกครั้งในอีก 9 วันถัดมา คนที่เห็นมันึคนแรก(เป็นคนขององกรณ์ รอดมาได้เพราะไม่ได้ขับเร็วเกินกำหนด) บอกว่าหน้าตามันเปลี่ยนไป ซึ่งผู้ที่เห็นมันคือ(ต้องบอกว่าผู้ที่ถูกส่งไปสังเกตุการณ์มากกว่า) 
เจ้าหน้าที่พิเศษ ████████ และเราก็ได้บันทึกบทสัมภาษในตอนนั้นไว้


เจ้าหน้าที่พิเศษ ████████ :มันบอกไม่ถูกอ่ะนะ บอกได้แค่ว่ามันดูไม่เหมือนเดิม ไม่เหมือนเดิมเลยจริงๆที่ผมพอจะจำได้ก็คือ ตาของมันกลายเป็นสีแดง
และปากมันก็เหมือนกับหลุมมืดๆหลมหนึ่ง มันไม่มีฟันไม่ลิ้น มันเหมือนหลุมจริงๆน่ะ ตอนนั้นอยู่ดีๆมันก็ตามผมมาทั้งๆที่ผมขับช้า ผมก็ไม่ได้สังเกตหน้าตามันเท่าไหร่
้เพราะผมมัวแต่ยิงมันอยู่

แปลเมื่อ 8 พฤษภาคม เผยแพร่ครั้งแรกที่  Here

[SCP-TRANSLATION PROJECT]SCP-207 สุดยอดเครื่องดื่มสร้างยอดมนุษย์สงสัยต้องหามาดื่มบ้างแล้ว

ภาพจริงของ SCP-207


โค้ดเนม:SCP-207 ระดับวัตถุ:ปลอดภัย

วิธีจัดเก็บ
SCP-207 ถูกเก็บไว้ในกล่องเหล็กขนาด 1m x 05m x 05m ซึ่งเป็นกล่องแบบกันน้ำ(ไม่เป็นสนิมและน้ำเข้าไม่ได้
ผู้ถือกุญแจที่ใช้เปิดกล่องคือ หัวหน้าทีมวิจัยการกักเก็บแบบพิเศษในพื้นที่ปิดล้อมคนปัจจุบัน 
ซึ่งเจ้าSCP-207 จะถูกเก็บไว้ที่นี่ตลอดเวลา
ในพื้นที่นั้นใึีครจะเข้าหรือจะออก ต้องถูกค้นตัวเพื่อหาอาหารหรือเครื่องดื่มที่ติดมากับตัวซึ่งห้ามนำไปในบริเวณนั้นและห้ามอะไรออกมาด้วย
และหากคนที่บ้าไปกินไอ้ SCP-207-1 เข้าจะต้องถูกกักตัวทันทีเพื่อรอการวิจัยถึงอาการที่จะตามมาในอนาคต

รูปพรรณสัณฐาน

SCP-207 ถูกบรรจุลงเป็นขวดในรูปของน้ำอัดลมยี่ห้อ โค้ก รูปแบบของขวดนั้นมีอยู่ทั้งหมด 24 แบบ ซึ่งเรียกตามตัวหนังสือ A-X เช่น
แบบที่ 1 SCP-207-A แบบที่ 2 SCP-207-B อะไรประมาณนี้ และใน 24 ขวดนี้ มีขวด B ถูกเปิดแล้วและหากต้องการเปิดขวดอื่นต้องให้นักวิจัยระดับ 4 อย่างน้อย
2 คนเห็นชอบด้วย(สงสัยมีอะไรเกิดขึ้นล่ะมั้งถึงต้องใช้คนระดับสูง) SCP-207 ทุกขวดถูกติดฉลากอย่างชัดเจนแล้วยังมี อย ด้วยเหอๆ ส่วนน้ำที่อยู่ข้างในขวดนั่นถูกยืนยันแล้วว่าเหมือนกันทุกขวดและน้ำข้างในนั้นไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตามไม่ควรเอามากินเลย(ยกเว้นเพื่อการทดลอง) ของเหลวพวกนั้นถูกกำหนดโค้ดเนมให้ว่า SCP-207-1 และจากการทดลองพบว่าเป็นสารเคมีอันตรายในระดับ 2 แถมไม่ว่าจะเก็บมันไว้นานเท่าไหร่ก็ไม่มีื่ท่าว่ามันจะเปลี่ยนแปลงเลย มันคงเป็นสีเดิม กลิ่นเดิม รสเดิมและคุณสมบัติเดิมตลอด และขวดไหนที่ถูกเปิดแล้วจะต้องแยกน้ำออกจากขวดแล้วเอาขวดไปรักษาไว้ ส่วนน้ำเอาไปทำวิจัย

บทบรรยาย

จากการทดสอบคุณสมบัติพบว่ามันมีค่าของน้ำตาลและคาเฟอีนสูงกว่าน้ำอัดลมทั่วไป นอกจากนี้ยังมี[ข้อมูลปกปิด] เมื่อตัวทดลองดื่มมันเข้ามันส่งผลให้คนที่ดื่มมันไม่จำเ้ป็นต้องนอนหลับหรือพักผ่อนอีกถึงแม้จะำพยายามนอนยังนอนไม่ได้(คือต้องตื่นตลอดเวลา ทรมานสุดๆเวลา 8 ชั่วโมงที่ไม่ต้องนอนก็ไม่รู้จะเอามาทำไมคนอื่นเค้าก็นอนกันหมด) ถึงแม้จะตัวทดลองจะถูกฉีดยาสลบก็ยังไม่หลับ(บร๊ะเจ้า) ถึงแม้ว่าสมมติฐานที่ Dr.C█████ ตั้งไว้จะ[ข้อมูลปกปิด] SCP-207-1 ถูกใช้ในการทดลองไปทั้งหมด 5 ลิตร แต่ถึงแม้จะดื่มไปมากกว่านี้ผลของมันก็ยังคงเหมือนเดิม แต่เอฟเฟคของมันไม่ได้มีแค่นี้ นอกจากมันจะช่วยให้ไม่ต้องพักผ่อนแล้วมันยังช่วยให้เครื่องยนตร์ทำงานได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้ประสาทสัมผัสคมมากขึ้นแล้วยังช่วยเพิ่มความสามารถทางร่างกายด้วยเช่น ยืดหยุ่นขึ้น แข็งแรงขึ้น อะไรพวกนี้และเมื่อดูจากกราฟความสามารถของร่างกายที่ได้จากการดื่ม SCP-207-1 ความสามารถทางกายภาพจะเพิ่มขึ้น 50% ในทุกๆ 6 ชั่วโมง นอกจากนี้มันยังช่วยเพิ่ม IQ ของตัวผู้ดื่มขึ้นอย่างมากจนกลายเป็นฉลาดที่คิดได้อย่างรวดเร็ว ตัดสินใจทำสิ่งต่างๆได้อย่างสุดยอด
ปล.บทความนี้เคยถูกเผยแพร่ใน JKG แล้วครับไม่ใช่ของใหม่แต่อย่างใด เพียงแต่ผมหยิบมาไว้ที่นี้ เพื่อไม่ให้มันดูโจ๋งเหลงเกินไป เพราะยังไม่ได้เขียนอันใหม่ แต่ผมไม่ก๊อปมานี่ของผม ผมแปลเองกะมือ
แปลครั้งแรกเมื่อ 1 พฤษภาคม 2012 เผยแพร่ครั้งที่ HERE

SCP คืออะไร?


SCP เป็นชื่อขององกรณ์ลับองกรณ์หนึ่ง ซึ่งเป็นองกรณ์ที่ไม่มีตัวตน โดยองกรณ์นี้จะทำหน้าที่จัดเก็บ
สิ่งที่เหนือคำอธิบายของวิทยาศาสตร์และเป็นอันตรายต่อมนุษย์โลกและโลกมนุษย์ คล้ายๆกับ MIB
โดยสิ่งต่างๆที่องกรณ์นี้ทำก็คือ สืบหา ตามล่า และนำมากักขังไว้ ซึ่งผมจะไม่ยกตัวอย่างว่า
ไอ้ SCP นี่มันมีอะไรบ้าง แต่พวกคุณจะได้อ่านกันในบทความที่จะตามมาต่อจากนี้
ซึ่งใน Blog นี้ผมจะลงเฉพาะอันที่ผมคิดว่ามันยอดเยี่ยมเท่านั้น หมายความว่าเรื่องราวของ
SCP ใน Blog นี้จะเป็นเรื่องที่เป็น The Best นั่นเอง
ในขณะที่คุณอ่านเรื่องของมัน คุณไม่ต้องไปคิดว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริง ให้อ่านเพื่อความบันเทิง
ก็พอครับ ผมและผู้ที่เขียนเรื่องนี้อีกหลายๆคน รวมถึงผู้อ่านที่ึเคยติดตามในตอนที่ผมเขียนนั้น
ก็รู้อยู่หลายคนว่าข้อเท็จจจริงมันเป็นยังไงกันแน่ ซึ่งถ้าใครอยากรู้ก็หลังไมค์ได้
แล้วก็ที่ผมบอกว่าเคยเขียนหมายความว่าตอนนี้ผมไม่ได้เขียนแล้วแต่ผมไปเขียนเรื่องอื่นแทน
ก็อ่านเรื่องไหนแล้วสนุกน่าสนใจ ผมก็มาแปลลงเพื่อแบ่งปันให้คนอื่นได้่อ่าน ผมไม่ได้หวังอะไร
ผมแค่อ่าน ผมสนุก ผมอยากให้คนอื่นอ่านด้วย แล้วถ้าถามว่า ทำไมให้คนอื่นอ่านด้วยแล้วสนุก
ผมก็ตอบเลยว่า ผมไม่รู้!! ผมก็แค่สนุกของผม โดยรวมแล้วบทความนี้ พูดถึงเรื่อง SCP
น้อยกว่าเรื่องของผมซะอีก ฮ่าฮ่า เอาเป็นว่าวัตถุประสงค์ในการเขียนก็เพื่อความสนุก แต่
ผมจะใช้ความสนุกไปพร้อมๆกับการหาเงินก็ได้ นั่นก็เป็นผลพลอยได้จากงานอดิเรกครับ ฮ่าฮ่า
 ยังไงก็ลองๆอ่านดูนะ เรื่องที่ผมแปลน่ะ ถึงจะไม่ได้แปลเก่งมาก แต่รับรอง
ว่าสนุกแทบทุกเรื่องครับ ฮ่าฮ่า แล้วส่วนใหญ่ ผมจะแปลเรื่องลึกลับครับ แต่ถ้าใครเห็นว่าเรื่องไหน
สนุกหรือน่าสนุกก็ส่งมาให้ผมได้นะ ถ้าผมอ่านแล้วผมชอบผมจะแปลให้ ถึงผมจะชอบแปลเรื่องไร้สาระ
แต่ไม่ได้ความว่าผมไม่ชอบอ่านเรื่องที่มี่สาระนะ เพราะฉนั้นอยากเสนอเรื่องไหนก็เสนอมาได้
ออ อย่างสุดท้ายขอบอก ผมแปลแต่ภาษาอังกฤษนะครับ ภาษาอื่นไม่เอา ฮ่าฮ่า
อ่อ เรื่องสุดท้ายครับ เรื่องที่ผมแปลบางเรื่องผมก็เอาลง JKG ด้วยนะครับ 
ผมนำผลงานของผมลงในเว็บ Dek-D ที่มีสมาชิกเป็นล้านผลเป็นไงรู้มั้ยครับ 5-6 วัน คนดูไม่ถึง 200 ฮ่าฮ่า
แต่พอเอาไปลงเว็บ JKG ที่มีสมาชิกแค่หลักแสน แค่ 2-3 วันคนดูเป็นหลักพันแล้ว ผมก็เลยเข็ดไม่กล้า
เอาไปลง Dek-D อีกเอาล่ะวันนี้ผมขอลาไปก่อนครับ